กษัตริย์กัมพูชา ภายใต้อุ้มบุญของสยาม ที่คุณ…อาจไม่เคยรู้

นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “กษัตริย์กัมพูชาภายใต้อุ้มบุญของสยาม” ที่คุณ…อาจไม่เคยรู้” มีรายละเอียดดังนี้

มีกลุ่มคนจำนวนเล็กๆ ชาวกัมพูชา ที่อาจจะได้รับการส่งเสริม สนับสนุนโดยผู้อยู่หลังม่านบางคน ให้ก่อกวน บิดเบือน ทั้งประวัติศาสตร์ในอดีตและปัจจุบัน ว่าเขมรเคยรุ่งเรืองจนไทยลอกเลียนแบบศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม จารีตประเพณีมาจนหมด

ทั้งที่ความจริง อาณาจักรขอมเป็นเขมรโบราณจริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้ และเป็นคนเขมรสายเลือดเดียวกันกับปัจจุบันหรือเปล่าก็ยังไม่รู้

เพราะความจริงที่เป็นประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานชัดเจนคือ เขมรเป็นเมืองขึ้นของไทยยาวนานกว่า 400 ร้อยปี

จารีตประเพณี ศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ของกัมพูชาในปัจจุบัน ล้วนลอกเลียนแบบไปจากไทยทั้งสิ้น

เรามาทบทวนประวัติศาสตร์ที่เพิ่งผ่านไป 200 กว่าปีมานี้ ก็จะเห็นชัดว่า เป็นอย่างที่ผมเกริ่นไว้หรือไม่
………………………………………………………………….
เขมรเป็นเมืองขึ้นของไทยมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา

แล้วจนมาถึงช่วงที่ไทยกำลังสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ใหม่ๆ พ.ศ.๒๓๒๕ ฝั่งเมืองกัมพูชาเกิดความวุ่นวายฆ่าฟันแย่งชิงราชสมบัติกัน สมเด็จพระนารายณ์ฯ พระเจ้ากรุงกัมพูชาทิวงคต

พระยากลาโหมและพระยายมราช เสนาบดีเขมร ได้พา นักองเอง ซึ่งขณะนั้นมีชนมายุเพียง ๑๐ ชันษา และพระพี่นางของนักองเอง สามองหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารรัชกาลที่ ๑

พระพี่นางองค์ใหญ่พิราลัยไปก่อน ส่วน “นักองอี” และ “นักองเภา” พระพี่นางองค์กลาง และองค์เล็กนั้น พระมหาอุปราชวังหน้าขอพระราชทานไปเป็นพระสนมเอก
………………………………………………………………….
ส่วนนักองเองนั้น รัชกาลที่ ๑ ทรงเมตตารักใคร่เลี้ยงดูดังโอรสบุญธรรม จนเมื่อมีพระชนมายุครบ ๑๔ ชันษา รัชกาลที่ ๑ ก็โปรดฯให้สร้างวังพระราชทาน ที่ตรงข้ามวัดสระเกศ ที่ในเวลาต่อมาเรียกกันว่า ‘วังเจ้าเขมร’

เมื่อมีพระชนมายุ ๒๒ ชันษา ก็โปรดฯ ให้ผนวช พร้อมกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ และพระพงศ์นรินทร์ พระโอรสสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

แล้วในปีนั้นเองก็โปรดฯให้กลับไปครองเมืองเขมร พระราชทานพระนามตามอย่างพระบิดาว่า “สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี”

แต่นักองเอง ครองราชย์ได้เพียง ๓ ปีก็พิราลัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงพระอาลัย เพราะทรงโปรดปราน

หลังนักองเองพิราลัย เมืองเขมรก็เกิดวุ่นวายขึ้นอีก ในที่สุดสมเด็จฟ้าทะละหะ หรือพระยากลาโหมที่ชื่อปุก ซึ่งพานักองเองมาอยู่เมืองไทย และเป็นผู้ดูแลนักองเองตลอดเวลา จนนักองเองพิราลัย ได้ว่าการเมืองเขมรและดูแลโอรสทั้งหลายของนักองเอง
………………………………………………………………….
เมื่อนักองจันทร์โอรสองค์ใหญ่ อายุได้ ๑๖ ชันษา จึงพาเข้ามาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ขอพระราชทานให้ตั้งนักองจันทร์เป็นพระเจ้าแผ่นดินเขมร

นักองเองนั้นมีโอรสหลายองค์ พระโอรสองค์ใหญ่ นักองจันทร์ ได้ครองราชสมบัติมีพระนามว่า สมเด็จพระอุทัยราชา

แต่เมื่อครองเขมรแล้ว กลับอาใจออกห่างไทยหันไปพึ่งญวน

เจ้านายและขุนนางเขมรจึงแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย ในที่สุดนักองอิ่ม โอรสที่ ๒ และนักองด้วง โอรสที่ ๕ ซึ่งเข้าข้างฝ่ายไทย ต้องหนีเข้ามากรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ โดยมาอยู่วังเดิมของนักองเองพระบิดาที่ข้างวัดสระเกศ
………………………………………………………………….
พอถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ องเชียงสือ พระเจ้าเวียดนามยาล็อง สิ้นพระชนม์ แล้วปีรุ่งขึ้นสมเด็จพระอุทัยราชา ก็สิ้นพระชน

ในเวลานั้นไทยกับญวนจึงมีเรื่องขัดใจกันมากขึ้ ญวนกวาดต้อนเอาราชวงศ์เขมรและขุนนางผู้ใหญ่ไปไว้เสียเมืองญวน แล้วเข้าปกครองเขมรเอง

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ โปรดฯให้นักองด้วง ยกทัพไปช่วยเจ้าพระยาบดินทรเดชา พร้อมกับโปรดฯให้ไปครองเขมร พระราชทานนามว่า “สมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดี”

โดยเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ต้องอยู่ทำศึกกับญวนและดูแลเขมรให้สงบเรียบร้อย เป็นเวลารวมทั้งสิ้น ๑๕ ปี จึงได้โปรดฯให้มีสารตราบอกไปให้ยกทัพกลับ
………………………………………………………………….
ตั้งแต่สถาปนากรุงเทพฯรัตนโกสินทร์ “พระกรุณา” หรือที่คนไทยเรียกว่า “ในหลวง” ของกัมพูชาที่เข้ามาอยู่ในกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่ยังเด็กๆ จนกระทั่งพระมหากษัตริย์ของไทยสนับสนุนให้ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินของกัมพูชานั้น มี ๓ พระองค์ด้วยกัน คือ

๑. นักองเอง (ไทยเรียกพระองค์เอง) เข้ามาพึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดยอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ชนมายุ ๙ ครองราชย์ชนมายุ ๒๑

๒. นักองด้วง (พระองค์ด้วง) โอรสนักองเอง อยู่ในแผ่นดินรัชกาลที่ ๓ ในกรุงเทพฯ พระองค์ด้วง นั้น อยู่ในเมืองไทยนานที่สุดถึง ๒๙ ปี จนกระทั่งคนไทยในกรุงเทพฯ สมัยโน้นแทบจะรู้สึกว่าเป็นเจ้านายไทย

๓. นักองราชาวดี โอรสนักองด้วง อยู่ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔ สมภพในกรุงเทพฯ จึงรับสั่งภาษาไทยคล่องกว่าภาษาเขมรของพระองค์ ด้วยสมภพในกรุงเทพฯ ปลายรัชสมัยที่ ๓

เมื่อมีพระชนมายุครบ ๒๐ ชันษา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ พระราชทานผนวชให้ แล้วกลับเขมรไปเป็นพระมหาอุปราชในแผ่นดินพระราชบิดา คือนักองด้วง แล้วต่อไปได้ทรงราชย์ สืบต่อจากพระราชบิดา เมื่อชนมายุ ๒๓
………………………………………………………………….
เมื่อพระองค์ราชาวดี เมื่อขึ้นครองราชย์ มีพระนามว่าท”สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์” พระองค์เป็นปู่ทวดของนโรดมสีหนุ

ในเวลานั้นเป็นเวลาพอดีกับฝรั่งเศสได้ญวนเป็นอาณานิคม จึงแผ่อิทธิพลเข้ามาถึงเขมร และเพราะฝรั่งเศสถือว่าเขมรเป็นทั้งของญวนและของไทย โดยเขมรส่งเครื่องบรรรณาการให้ทั้งญวนและไทย จึงพลอยถือเอาว่า เมื่อญวนเป็นของฝรั่งเศส เขมรก็ต้องเป็นของฝรั่งเศสด้วย

ดังนั้น ในการราชาภิเษกพระองค์ราชาวดีทั้งฝรั่งเศสและไทย จึงแต่งข้าหลวงออกไปรวมอภิเษกพร้อมกัน

ขณะครองราชย์อยู่ ก็ถูกฝรั่งเศสบีบบังคับตลอดมา จนกระทั่งบังคับให้ลงพระนามเซ็นสัญญามอบอำนาจให้ฝรั่งเศสปกครอง

เรื่องนี้พระองค์ราชาวดี หรือ สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ ได้มีหนังสือลับ ลอบส่งไปถวาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ว่ายังจงรักภักดีและมิเคยเอาใจออกห่างจากไทย หากแต่ถูกผู้สำเร็จราชการไซ่ง่อนนำเรือรบเข้าไปขู่หน้ากรุงพนมเปญ และเข้าไปชักปืนจ่อพระอุระบังคับให้เซ็นพระนาม
………………………………………………………………….
‘พระกรุณา’ หรือ ในหลวง แต่ละพระองค์ของเขมรอยู่ในกรุงเทพฯ นานแรมปี บางองค์โตในกรุงเทพ บางองค์เกิดในกรุงเทพ แล้วเมื่อกลับไปครองราชย์ ก็นำพิธีการต่างๆในราชสำนักไทย ศิลปวัฒนธรรม เช่น การแสดงละคร โขน รวมถึงสถาปัตยกรรมของไทย และธรรมเนียมแบบแผนอย่างราชสำนักไทย นำกลับไปใช้ในกัมพูชาทั้งหมดทั้งสิ้น

สิ่งที่เห็นในปัจจุบันในกัมพูชา ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากไทยตลอดตั้งแต่ 200 กว่าปีก่อนแทบทั้งสิ้น เพราะกษัตริย์กัมพูชาเกิดและเติบโต และได้รับการอบรม ได้รับการศึกษา ในกรุงเทพ แล้วนำกลับไปใข้ในบ้านเกิดของพระองค์เองทั้งสิ้น

ส่วนศิลปะขอมในเมืองไทย บางส่วนไทยเลียนแบบมาจากขอม บางส่วนขอมเป็นผู้สร้างขึ้นมาก่อนอาณาจักรอยุธยาจะกำเนิด

ที่สำคัญยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่นักประวัติศาสตร์ว่าขอมไม่ใช่เขมร และอาจเป็นไปได้ด้วยซ้ำว่าขอมคือบรรพบุรุษของละโว้ ซึ่งละโว้เป็นต้นตระกูลไทย โดยมีพระเจ้าอู่ทองปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาสืบสายเลือดมาจากราชสำนักละโว้
………………………………………………………………….
กำลังมีกลุ่มคนเขมรยุยงปลุกปั่น บิดเบือนประวัติศาสตร์ เพื่อด้อยค่าชาติพันธุ์คนไทย ทั้งที่ต้นตระกูลในยุคปัจจุบันของพวกเขาได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระมหากษัตริย์ไทย

ที่หนักกว่านั้นคือ ในเมืองไทยมีกลุ่มคนไทยยุยงปลุกปั่น บิดเบือนประวัติศาสตร์ เพื่อด้อยค่าชาติพันธุ์ของตนเอง
………………………………………………………………….
อัษฎางค์ ยมนาค
รวบรวม เรียบเรียง