ดร.ไตรรงค์ กาง ‘ทฤษฎีสันขวานกับปัญหาหลักของประเทศไทย’

ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต ส.ส. หลายสมัย ได้แผยแพร่บทความเรื่อง “ทฤษฎีสันขวานกับปัญหาหลักของประเทศไทย” โดยมีรายละเอียดดังนี้

จากการติดตามฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจระหว่างวันที่ 16 – 18 กุมภาพันธ์ 2564 เราจะพบความจริงข้อหนึ่งว่า การโกงกิน #คอรัปชั่นยังฝังรากลึกและขยายตัวกว้างขวาง มีตั้งแต่ในราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และได้ขยายไปเกือบทั่วราชการส่วนท้องถิ่น ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ในการลงมติไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สำคัญว่า ประเทศไทยจะแพ้หรือชนะในการต่อสู้กับโรคมะเร็งร้ายเหล่านี้ ระบบการเมืองการปกครองแบบใดที่จะช่วยชลอให้มันมีน้อยลงหรืออาจจะช่วยเร่งให้มันมีมากยิ่งขึ้นในอนาคต เราต้องช่วยกันคิดโดยตั้งมั่นไว้ว่า #ผลประโยชน์ของชาติต้องสำคัญกว่าผลประโยชน์ของพรรคฯ

ในประเทศไทย ภาคอื่นผมไม่ทราบ แต่ที่ปักษ์ใต้บ้านเกิดของผม มีสำนวนการพูดกันแต่โบราณกาลว่า “ถ้ามัน หักหลังกู โกงกู ทำกูผิดหวังและช้ำใจ #กูต้องให้มันแดกสันขวานเพื่อเป็นการสั่งสอน” และชาวปักษ์ใต้เขาก็เคยทำเช่นนั้นกันจริงๆ ครับ คนขี้โกง ตอแหล กลับกลอก ไม่จริงใจ หลายคนต้องรับประทานสันขวานกันเต็มคำ ทั้งในวิถีชีวิตประจำวัน และวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิเลือกตั้งในทางการเมืองด้วย

ผมคิดได้อยู่ 7 สถานการณ์ทางการเมือง ที่จะเป็นหลักฐานพิสูจน์ให้เห็นว่า #ทฤษฎีสันขวาน จะ #ช่วยส่งให้คนขี้โกงตอแหลกลับกลอกไม่จริงใจไปสู่จุดจบที่เขาคู่ควร …ตามมาอ่านกันเลยครับ!

(1) เท่าที่ผมจำได้มีบุคคลสำคัญอยู่ 2 ท่านที่เคยพูดเรื่องตัวปัญหาหลักของประเทศไทยเอาไว้ ท่านแรกคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เคยกล่าวไว้ว่า “ปัญหาของประเทศไทยไม่ใช่ปัญหาเรื่องประชาธิปไตย มิใช่ปัญหาเรื่องรัฐธรรมนูญ แต่ปัญหาหลักของประเทศคือ #ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง” ส่วนอีกท่านหนึ่งคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ปัญหาของประเทศไทยก็คือการที่ #คนดีวางเฉย ปล่อยให้คนไม่ดีเหิมเกริม โกงบ้านกินเมืองจนย่อยยับไปทุกวัน”

(2) ประเทศไทยมีการปกครองด้วย #ระบบเผด็จการทหารอย่างสมบูรณ์ เช่นในสมัยของ #จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และยุคของ #จอมพลถนอม #จอมพลประภาส ที่รับช่วงต่อมารวมเวลาทั้งหมด 16 ปี (ภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ไทยเป็นศัตรูกับจีนและรัสเซีย) ในช่วงเวลาดังกล่าวได้เกิดการคอรัปชั่น โกงกินจากกลุ่มเผด็จการทหารร่วมกับนายทุนชาติเป็นไปอย่างกว้างขวาง เพราะบางช่วงนอกจากไม่มีฝ่ายค้านแล้ว สิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนก็ถูกควบคุมอย่างเข็มงวด บางช่วงก็แกล้งผ่อนคลายให้มีเลือกตั้ง แต่ให้วุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งโดยรัฐบาลมีสิทธิและอำนาจเท่ากับ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง และยังให้ทั้งสองฝ่ายมีจำนวนเกือบเท่ากัน เช่น ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญปี 2511 ที่ให้อำนาจ ส.ส. และ ส.ว.(ที่มาจากการแต่งตั้ง) มีสิทธิและอำนาจเท่ากันในการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล เป็นต้น

(3) การอยู่ภายใต้ระบบเผด็จการทหารอย่างสมบูรณ์ถึง 16 ปีมันยาวนานมากจนในที่สุด #ประชาชนก็อดทนต่อไปไม่ไหว จึงเกิดขบวนการเรียกร้องรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยขึ้นมาโดยการนำของขบวนการนิสิตนักศึกษาในวันที่ #14ตุลาคม 2516 แม้จะถูกปราบปรามฆ่าฟันล้มตายแค่ไหนก็ยังมีการยืนหยัดต่อสู้เรียกร้องจนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ต้องทรงออกมาระงับศึกโดยให้ ถนอม – ประภาส ลี้ภัยออกไปอยู่นอกประเทศชั่วคราว รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นก็บังเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2517 และต่อมาได้รับการปรับปรุงถึง 6 ครั้ง จนได้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกจ๋ามากที่สุด คือให้มีการเลือกตั้งจากประชาชนทั้ง ส.ส. และ ส.ว. (เป็นการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนโดยใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และยังบัญญัติให้มีองค์กรตามรัฐธรรมนูญหลายองค์กรไว้ถ่วงดุลป้องกันและปราบปราบการทุจริตคอรัปชั่นอีกด้วย

(4) หลังจากมีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เกิดมี #สภาผัวเมีย กล่าวคือ ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ล้วนมาจากฐานเดียวกัน ถ้าเมียเป็น ส.ส. ผัวก็จะเป็น ส.ว. เป็นต้น รัฐบาลที่มีเสียงข้างมากในสภาฯ ในสมัยนั้นจึงสามารถสั่งให้สภาทั้งสองมีมติอย่างไรก็ได้ตามความปรารถนาของรัฐบาลโดยเสมือนไม่มีฝ่ายค้านในรัฐสภาแต่อย่างใด เช่น รัฐบาลจะเป็นคนกำหนดให้ใครเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญก็ได้ จะให้ใครเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ก็ได้ จะให้ใครเป็นกรรมการ กกต. ก็ได้ ฯลฯ #ระบบการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายเพื่อป้องกันการทุจริตจึงล้มเหลว ไม่สามารถขัดขวางคนไม่ดีมิให้โกงกินบ้านเมืองได้เลย จึงเป็นยุคที่คนในรัฐบาลมีเสรีภาพในการทำชั่วชนิดใครใคร่โกง -โกง ใครใคร่แดก – แดก

ซึ่งตำราฝรั่งเรียกระบบการปกครองเช่นนี้ว่าเป็น #ระบบเผด็จการรัฐสภา (TOTALITARIANISM) ซึ่งเป็นระบบที่เอาความชอบธรรมทางการเมืองใน #การเลือกตั้งมาบังหน้า ในการใช้การปกครองในแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ (แล้วอ้างว่าตนเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย) เพื่อการกอบโกย โกงกินและใช้อำนาจตามอำเภอใจได้ ฮิตเลอร์ (Hitler) เคยแปรสภาพ ระบอบประชาธิปไตยที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งโดยสามารถรวบรวมเสียงส่วนใหญ่ในสภาได้แล้ว ค่อยๆ ละลายความเป็นประชาธิปไตยให้กลายเป็นเผด็จการรัฐสภาที่ไม่มีใครตรวจสอบขัดขวางได้จนเป็นเหตุให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ประชากรของโลกต้องล้มตายลงประมาณ 70 – 85 ล้านคน (3% ของประชากรของโลกในขณะนั้น)

(5) สำหรับประเทศไทย การใช้อำนาจเผด็จการรัฐสภาดังกล่าวพยายาม #ออกกฎหมายที่ขัดหลักนิติธรรม เช่น ร่างกฎหมาย #นิรโทษกรรมสุดซอย เป็นต้น แต่ก่อนหน้านั้นก็ได้ใช้อำนาจเผด็จการรัฐสภาสร้างความเสียหายเพราะมีการออกกฎหมายและนโยบายเพื่อ #เอื้อประโยชน์ให้แก่พวก ที่เป็นรัฐบาล บนความเสียหายของรัฐอยู่หลายประการ เท่าที่รวบรวมได้ในช่วง พ.ศ. 2544 – 2557 มีคดีเรื่องนี้มากกว่า 10 คดี รัฐเสียหายไปมากกว่า 7 แสนล้าน อันเป็นเหตุอันหนึ่งที่บั่นทอนพลังขับเคลื่อนทำให้เศรษฐกิจของชาติไม่สามารถเจริญเท่าที่ควรจะเป็นตามธรรมชาติของมัน ฟิลิปปินส์ด้อยพัฒนาฯ เพราะการโกงกินของระบบ Marcos อย่างไร ประเทศไทยก็เป็นอย่างนั้น

(6) ปราชญ์จีนบางคน เช่น เม่งจื๊อได้กล่าวอมตะวาจาไว้เมื่อประมาณ 2,000 กว่าปีมาแล้วว่า “เป็นความยุติธรรมที่ #ประชาชนชอบจะล้มล้างรัฐบาลกังฉิน ที่เป็นทรราชปกครองบ้านเมืองด้วยการกดขี่และฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างไร้จริยธรรมและศีลธรรม”

(7) ดังนั้นพรรคการเมืองใดที่ร้องตะโกนว่าพวกตนต้องการประชาธิปไตย พวกตนจะปกป้องระบอบประชาธิปไตย และพวกตนจะคัดค้านระบอบเผด็จการทุกรูปแบบนั้น #จะต้องหมายรวมถึงการเป็นศัตรูกับระบอบเผด็จการรัฐสภาดังกล่าวด้วย การต่อสู้กับเผด็จการเช่นนี้นั้น #ต้องต่อสู้ในทุกรูปแบบ ต้องต่อสู้ทั้งในการยกร่างรัฐธรรมนูญ ต้องต่อสู้ทั้งในสภาฯ ในศาล และแม้ต้องต่อสู้ตามริมถนน (ถ้าจำเป็น) ก็ต้องทำ

ถ้าไม่สู้จริงในทุกรูปแบบดังกล่าว ก็อาจจะ #ได้รับการลงโทษจากประชาชนในการเลือกตั้งครั้งต่อๆไป เพราะประชาชนที่มีสมองจะถือว่าพรรคนั้นไม่มีความจริงใจและกล้าหาญในการช่วยต่อสู้เพื่อปกป้องกีดกันมิให้ประเทศตกอยู่ใต้ ระบบเผด็จการทรราชที่อาศัยทุนสามานย์จ้องจะเขมือบประเทศอย่าง กับฝูงเหลือบที่กระหายเลือด

ผมขอทิ้งท้ายไว้ว่า ทุกอย่างในโลกนี้แม้แต่สิ่งที่เป็น “นามธรรม” ที่จับต้องไม่ได้ เช่นคำว่า “ศรัทธา” นั้น ต่างล้วนอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์ #อนิจจังทุกขังอนัตตา คือเกิดขึ้นได้แต่ไม่สถาพร อาจจะจางลงและดับได้ เพราะหามีตัวตนที่แท้จริงไม่ จะเกิดจะดับแล้วแต่เหตุและปัจจัยที่สร้างมันขึ้นมา (สำคัญว่ากฎอันนี้ จะรุนแรงเหนือกว่าผลของการทุจริตของการเลือกตั้งหรือไม่)

และไม่เฉพาะแต่กับประเทศไทยนะครับ ในโลกนี้ยังมีคนไม่น้อยกว่า 15 – 30% ที่ยังคงความ #เป็นคนไม่ใช่ควาย ยัง #แยกแยะผลประโยชน์ของชาติออกจากผลประโยชน์ส่วนตัวได้ แต่ก็ยังมีคนอีกเยอะที่ยังคิดไม่ได้ แม้ในสหรัฐอเมริกา การรักพรรคมากกว่าการรักชาติของพรรค Republican ในกรณีการปกป้อง นายทรัมป์ ในวุฒิสภานั้น คอยดูก็แล้วกันนะครับ #ทฤษฎีสันขวาน จะแสดงอิทธิฤทธิ์ของมันในการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. ในครั้งต่อๆ ไปอย่างแน่นอน