หมดเวลาเผด็จการทหาร ‘ไพศาล-วีระ’ ถล่มยับรัฐบาลสืบทอดอำนาจกลับไร้ประสิทธิภาพบริหารประเทศ

ที่ห้องประชุมไทยไม่ทน สถานี Peace TV คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย ได้จัด เวทีอภิปรายออนไลน์ “ไทยไม่ทน” เป็นวันที่ 2 เมื่อ 25 เม.ย.2564 โดย นายไพศาล พีชมงคล เลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน กล่าวในหัวข้อ “การระบาดโควิดกับความล้มเหลวของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์”

โดยนายไพศาลได้เล่าถึง สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด19 ตั้งแต่เริ่มต้นที่ได้ติดตามสถานการณ์มาอย่างใกล้ชิด โดยได้เปิดเผยการศึกษาเชื้อไวรัส 19 ของประเทศจีนว่า เชื้อไวรัสตัวนี้ ไม่ได้เกิดเองตามธรรมชาติ แต่เป็นนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพ จากการตัดต่อพันธุกรรมจากไวรัสซาร์ หรือ ไข้หวัดนก และ เอดส์ เป็นความตั้งใจให้เกิดเป็นสงครามชีวภาพ เมื่อจีนค้นพบโครงสร้างของไวรัส ก็ได้วิจัยหายาที่จะทำลายเชื้อนี้ ซึ่งก็สำเร็จ แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการวิจัยเพิ่มเติม กว่าจะประกาศใช้ได้ จึงได้ค้นหายาที่มีอยู่แล้วเพื่อใช้ให้ทันท่วงที กับสถานการณ์การระบาด ก็ค้นพบว่า ยารักษาโรคเอดส์ ที่ประเทศไทยเป็นผู้คิดค้นผลิตขึ้น น่าจะใช้ได้ ซึ่งทางแพทย์ในประเทศไทยก็ได้มีการนำมาทดลองรักษา และประสบความสำเร็จตามคาด รวมถึงมีแพทย์ในประเทศไทยอีกคนพัฒนาตัวยาจากน้ำเหลือง หรือ พลาสม่าของผู้ป่วยโควิด19 ที่รักษาหายแล้ว ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน

เท่ากับว่าในช่วงการระบาดรอบแรก ประเทศไทย มียารักษาโควิด 19 ถึง 2 ชนิด ทำให้สามารถรักษาผู้ป่วยหายได้โดยเร็ว แต่ต่อมา ก็ไม่มีการพูดถึงยาสองชนิดนี้อีก ไม่ทราบด้วยเหตุใด โดยพบว่า ช่วงแรกหลังการค้นพบว่ายารักษาโรคเอดส์ ที่ประเทศไทยสามารถผลิตเองได้ ในราคาถูก มีประสิทธิภาพในการรักษาโควิด ก็มีผู้ใช้ช่องทางพิเศษนำเข้ายาชนิดเดียวกันจากต่างประเทศในราคาสูงกว่าในประเทศหลายเท่า ตนเห็นว่าคนแบบนี้ช่างไม่นำพาต่อความเดือดร้อนของประชาชน ประเทศชาติ

นายไพศาล ยังได้อธิบายถึงวิธีในการรับมือกับการระบาดของเชื้อไวรัส โควิด19 ในประเทศจีน ซึ่งช่วงแรกมีการระบาดรุนแรงมาก แต่รัฐบาลจีนสามารถรับมือได้เป็นอย่างดี จนทำให้การระบาดลดลงในระยะเวลาอันรวดเร็ว และไม่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ ทั้งนี้ นายไพศาลยังได้กล่าวถึง ประเทศไทย ที่อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินมาแล้ว กว่า15 เดือน ส่งผลกระทบต่อประชาชน เศรษฐกิจในวงกว้าง โดยตั้งคำถามต่อ มาตรการต่าง ๆ ว่าเกินสมควรไปหรือไม่

รวมถึงคณะทำงาน ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เหมาะสมหรือไม่ ในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นการรวบอำนาจสั่งการมาไว้ที่นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ส่งผลต่อการบริหารราชการไม่เป็นปกติ วิปริต ฟั่นเฟือนไป แม้ในพรก.ฉุกเฉิน จะมีการระบุว่าไม่สามารถเอาผิดกับผู้รับผิดชอบได้ แต่ในรัฐธรรมนูญ ได้ระบุหน้าที่ของรัฐไว้ว่า ผู้ได้รับผลกระทบ มีสิทธิขอเยียวยาจากรัฐ หากมาตรการใด ออกโดยทุจริต ไม่สุจริต เกินสมควร เลือกปฏิบัติ ไม่เป็นธรรม ผู้กระทำต้องรับผิดทางอาญา และแพ่งด้วย แม้จะไม่สามารถฟ้องศาลปกครองได้ แต่ศาลฎีกาได้วางบรรทัดฐานไว้แล้วว่า ศาลยุติธรรมมีอำนาจรับพิพากษาคดีเช่นนี้ได้ โดยฟ้องผ่าน ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยสามารถ ฟ้องคดีแพ่งพ่วงกันได้ด้วย

นายไพศาล กล่าวต่อว่า ท่านนายกรัฐมนตรี โปรดสังวรณ์ให้จงหนักว่า อำนาจเมื่อสถาปนาขึ้นแล้ว มีหน้าที่และความรับผิดชอบ อย่าคิดว่าอำนาจมีแล้วจะใช้ได้ดังใจ โดยไม่ต้องรับผิดชอบ นอกจากนี้ ตนขอเสนอ ให้นายกรัฐมนตรี เร่งนำประเทศเข้าสู่สถานการณ์ปกติโดยเร็วที่สุด อย่าให้สายเกินไป โดยใช้คำสั่งตาม พรก.ฉุกเฉินนำเข้าวัคซีน ชุดตรวจเสรี ประกาศให้นำยา ที่ได้ผลในการรักษาโควิด19 กลับมาใช้ใหม่ รวมถึงประกาศให้ประชาชนสามารถหา ยาแผนไทย และยาแผนปัจจุบัน มารักษาตัวเองตามอาการได้ อีกทั้ง ต้องประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้แล้ว อย่าให้บ้านเมืองวิปริต ฟั่นเฟือนไปมากกว่านี้

ขณะที่ นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน กล่าวว่า ที่ประเทศเราประสบปัญหาทุกวันนี้ ก็เพราะ การบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพของนายกรัฐมนตรีที่หลงในอำนาจ แบบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะเขาเป็นเผด็จการทหาร คิดว่าตัวเองมีอำนาจเบ็ดเสร็จในมือ คนเตือนไม่ฟัง คุมอารมณ์ไม่ได้ คนที่ห้อมล้อม มีแต่คนสอพลอ รอบแรกที่สยบโควิดได้ดี เพราะ บุคลากรทางการแพทย์ที่เก่ง มีประสิทธิภาพ แต่รัฐบาล ก็ตีกิน ฉกเอามาเป็นผลงานตัวเอง แล้วยังชะล่าใจ เหลิง ไม่ระวัง ไม่เตรียมการเรื่องวัคซีนให้ดี เอื้อเอกชนบางเจ้า ใครเตือนไม่ฟัง ไม่พอยัดข้อหาอีก

นอกจากนี้ นายวีระ ยังได้เปิดคลิป นายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่แถลงข่าวเรื่องวัคซีนเมื่อปีที่แล้ว ว่าประเทศเรามีมากที่สุดในเอเชีย แต่ความเป็นจริงในปัจจุบัน นายอนุทิน ต้องวิ่งวุ่นหาวัคซีน ไม่เป็นอย่างที่โอ้อวดไว้แต่อย่างใด ทั้งนี้ นายวีระ ยังได้ ยกตัวอย่างถึง ผู้นำในหลายประเทศ ทั้งระดับ นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรี ที่รับผิดชอบ ลาออกจากตำแหน่ง เพราะบริหารจัดการเรื่องโควิด 19 ไม่มีประสิทธิภาพ ผิดพลาด แต่ไม่ใช่กับประเทศไทยเรา

นายวีระ ได้กล่าวถึงการล่ารายชื่อ เพื่อขับไล่รัฐมนตรี บางคนออกจากตำแหน่ง ว่า ไล่พลเอกประยุทธ์คนเดียว ทั้งคณะรัฐมนตรี ก็ต้องออกไปหมด ไม่จำเป็นต้องไล่รัฐมนตรีทีละคนเลย คนมักถามกันว่านายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะชื่ออะไร ตนคิดว่าไม่ต้องสนใจ ไม่ว่า จะพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือจะร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ถ้าบริหารได้บริหารดี แก้ปัญหาประเทศได้ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าบริหารไม่ได้ ประเทศเสียหาย เราก็ไล่อีก การปกครองระบอบประชาธิปไตยก็เป็นเช่นนี้ หากเข้ามาตามวิถีประชาธิปไตย ตามกติกา ตามรัฐธรรมนูญที่เป็นธรรม ถ้าเข้ามาถูกต้อง ก็บริหารไป ทำไม่ดีก็ถูกตรวจสอบ ลงโทษ โดนด่ามาก ไล่มาก ก็ยุบสภา ทำดีก็อยู่ไปจนครบสี่ปี ประเทศใด ๆ ในโลกก็ทำเช่นนี้ แต่ไม่ใช่ การยึดอำนาจ เป็นกบฏ ฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วมาเขียนกติกา

“ที่ผมต้องย้ำเรื่องนี้บ่อย ๆ เพราะ พี่น้องประชาชนบางคนไม่เข้าใจ คำว่า เผด็จการทหารสืบทอดอำนาจ ทุกวันนี้ ผลพวงของการรัฐประหารยังอยู่ครบ ประกาศ คำสั่ง คสช. หลายร้อยฉบับก็ยังอยู่ อีกทั้งยังเขียนไว้ใน รัฐธรรมนูญ ห้ามเอาผิด ตรวจสอบย้อนหลังอีก นี่คือ เผด็จการทหาร คือสิ่งที่ต้องย้ำ ต้องพูดให้เข้าใจ และอย่าคิดไปเองว่า ประยุทธ์มาตามวิถีประชาธิปไตย เขามาตามวิถีปืน สืบทอดอำนาจจนถึงทุกวันนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งอย่างแท้จริง จึงไม่มีจิตวิญญาณ ประชาธิปไตย ทำอะไรตามใจตัวเอง ให้ผลตอบแทนแต่พวกตัวเอง ไม่คิดถึงประชาชน ในสถานการณ์โควิด19 จะเห็นชัด ว่าเขาไม่สนใจ ประชาชนจะตายก็ช่างมัน”นายวีระ กล่าว.