กว่าจะได้เป็นประเทศไทย ‘ดร.ไตรรงค์’ เตือนภัยการรุกเงียบ!!!

ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อเขียนเรื่อง “กว่าจะได้เป็นประเทศไทย #ให้ระวังการรุกเงียบ” โดยมีเนื้อหาดังนี้

บทความนี้อาจจะยาวนิดหนึ่ง แต่ผมหวังว่าจะเหมาะสำหรับการส่งเสริมให้ทุกคนอยู่บ้านอ่านหนังสือในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาดอย่างนี้นะครับ

1) มีหลักฐานทางโบราณคดีที่ได้ถูกขุดพบมากมาย พอจะยืนยันได้ว่า ในดินแดน 4 ประเทศที่อยู่ติดกันคือ ไทย ลาว เขมร พม่า (ส่วนที่เคยเป็นประเทศมอญ) เคยมีมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์อาศัยอยู่ก่อนแล้ว (กลองมโหระทึกและเครื่องปั้นดินเผาเป็นหลักฐานในเรื่องนี้) แต่กระจายกันอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ หาได้เป็นเมืองหรือเป็นรัฐหรือเป็นประเทศไม่ ที่ดินจึงเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเป็นส่วนใหญ่

2) ต่อมามีเหตุและปัจจัยหลายอย่างที่แตกต่างกันได้ผลักดันให้ชนเผ่าต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณแผ่นดินตรงนี้ ชนเผ่าเหล่านี้ก็มีเช่น เผ่าไต เผ่ามอญ เผ่าเขมร เผ่ามาเลย์ และชนเผ่ากลุ่มเล็กๆ ต่างๆ อีกมากที่ไหลเข้ามาอยู่ร่วมกัน จนเกิดเป็นประเทศขึ้นมาถึง 4 ประเทศ คือ ไทย ลาว เขมร และมอญ (อยู่ทางตอนใต้ของประเทศพม่าในปัจจุบัน) เพราะมีหลักฐานว่าประเทศเหล่านี้เกิดจากการรวมตัวของวัฒนธรรมและภาษา ไทย – ลาว มอญ – เขมร มาแต่โบราณกาล*

3) ชนเผ่าที่ไหลเข้ามาอยู่ในถิ่นแหลมทองที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันนี้มีอยู่หลักๆ 4 เผ่าด้วยกันคือ ไต มอญ เขมร และมาเลย์ ซึ่งเผ่าไตนั้นไหลจากทิศเหนือของประเทศลงมาสู่แหลมทอง ส่วนมอญ – เขมร ไหลจากทิศใต้แล้วค่อยๆ ขยับขึ้นทางเหนือของแผ่นดินแหลมทอง จนมีอยู่ทั่วไปทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง ส่วนเผ่ามาเลย์นั้นได้อพยพจากหมู่เกาะต่างๆ ในประเทศอินโดนีเซียเข้ามาร่วมอาศัยอยู่ในด้ามขวานของแหลมทอง และมีประปรายในภาคกลางและภาคอื่นๆ หลังจากกรุงศรีอยุธยาได้เข้ายึดแหลมมลายูมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสยาม (ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นกษัตริย์ของสยามประเทศ) แต่เราจะอธิบายรายละเอียดเฉพาะของเผ่าใหญ่ๆ 2 เผ่า คือ เผ่าไตและเผ่ามอญ – เขมร เท่านั้น ดังต่อไปนี้

4) ชนเผ่าไตนั้นเดิมมีแหล่งกำเนิดอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน อาจจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งในประเทศมองโกเลีย แต่คงไม่ใช่จากภูเขาอัลไตอย่างที่เคยพูดกัน เพราะผู้เขียนเคยเป็นแขกของรัฐบาลมองโกเลียเคยสอบถามเจ้าหน้าที่ระดับผู้ใหญ่ของมองโกเลีย ได้รับคำอธิบายว่า ประเทศเขามีทิวเขาชื่อ “อัลไต” จริง แต่อยู่ทางเหนือสุดของประเทศ ซึ่งอากาศจะหนาวมากตลอดปี จึงไม่เคยมีชนเผ่าใดสามารถอาศัยอยู่ได้ในแถบนั้นมาก่อน อย่างไรก็ดี เผ่าชาวไตก็ถูกชนเผ่าอื่นขับไล่แย่งที่ทำมาหากินจนต้องถอยร่นลงใต้มาเรื่อยๆ แบ่งการถอยร่นออกเป็น 2 ระยะ ดังต่อไปนี้

ระยะที่ 1 คือ ระยะเวลาก่อนและหลังการประกาศตั้งอาณาจักรน่านเจ้า
ระยะที่ 2 คือ ระยะเวลาก่อนและหลังจากอาณาจักรน่านเจ้าแตกสลาย

ซึ่งจะได้อธิบายในรายละเอียดในหัวข้อต่อๆ ไป

5) ส่วนการอพยพเข้ามาของเผ่ามอญ – เขมร นั้น มีเหตุผลน่าจะเชื่อได้ว่า พวกเขาอพยพมาจากรัฐเตลังกานา (Telangana) ทางภาคใต้ของอินเดีย (และนี่คือเหตุผลที่ในพงศาวดารพม่าเรียก “มอญ” ว่า “ตะเลง”) เพราะรัฐดังกล่าวอยู่ตรงรอยต่อของอินเดียเหนือกับอินเดียใต้และเป็นรัฐที่มีการพัฒนาการชลประทานในการทำการเกษตร โดยเฉพาะบนที่ราบสูงเดคคัน (Deccan Plateau) เพราะมีเหตุจูงใจให้ต้องเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรเพื่อป้อนความต้องการของพ่อค้าชาวทมิฬที่อยู่ใน 3 รัฐที่อยู่ริมอ่าวเบงกอลของอินเดีย (รัฐปัณฑัย รัฐโจฬะ และรัฐปัลลวะ) เพื่อนำสินค้าเกษตร (รวมทั้งผ้าที่ทอจากฝ้าย) ไปเป็นสินค้าเพื่อแลกเปลี่ยนกับสินค้าอย่างอื่นจากประเทศที่อยู่ทางทิศตะวันออกของอินเดีย และอาจจะเป็นเพราะคำบอกเล่าของพ่อค้าชาวทมิฬเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรในประเทศเหล่านั้นที่เขาเรียกกันว่า “สุวรรณภูมิ” หรือ “แผ่นดินแห่งทองคำ”** บวกกับความรู้สึกกลัวเพราะเป็นช่วงที่พวกเผ่าอารยันกำลังรุกจากทิศเหนือลงมาทางทิศใต้ด้วย

เหตุและปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนผลักดันให้ชนชาติเผ่ามอญ – เขมร ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานในดินแดนที่ถูกเรียกว่า “สุวรรณภูมิ”เพื่ออนาคตที่ดีกว่า ชนชาติมอญ – เขมร อพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ 2 จุด คือ ที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาจุดหนึ่ง กลายเป็นอาณาจักรทวารวดีมีนครปฐมเป็นศูนย์กลาง และทางตอนล่างของประเทศพม่าแถบลุ่มแม่น้ำอิรวดีอีกจุดหนึ่ง กลายเป็นอาณาจักรสุธรรมวดีมีเมืองสะเทิม (THATON) เป็นศูนย์กลาง***(พวกมอญเป็นชื่อเรียกพวกที่นับถือพุทธศาสนาส่วน“เขมร” คือพวกนับถือพราหมณ์)

6) เมื่อกรุงศรีอยุธยาไปตีอาณาจักรขอมมาเป็นเมืองขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้ารามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) (ซึ่งเป็นกุศโลบายของนโยบายต่างประเทศที่ไม่อยากพูดตรงนี้เพราะจะยาวเกินไป) วัฒนธรรมทั้งของอยุธยาและของเขมรก็เกิดการคลุกเคล้าเข้าหากัน นับถือกันทั้งพุทธและพราหมณ์ เวลามีงานประเพณีใดๆ ถ้าจะให้เป็นมงคลสูงสุดก็ต้องมีทั้งพิธีพราหมณ์และพิธีพุทธมาจนถึงปัจจุบัน ภาษาที่ใช้เขียนทั้งของไทยและของเขมรก็ล้วนมีรากฐานมาจากตัวอักษรปัลลวะเหมือนๆกัน

7) การอพยพของชาวไตจากจีน ขอแบ่งง่ายๆ เป็น 2 ช่วงดังต่อไปนี้**** (เพื่อให้สั้นเข้ามาหน่อย)

7.1) ก่อนและหลังก่อตั้งอาณาจักรน่านเจ้า ชนชาติไตเคยอพยพลงใต้มาตามลุ่มน้ำฮวงโหและแยงซีเกียง ตั้งอาณาจักรของตนอย่างมั่นคงได้ก่อนคริสตกาลหลายพันปี ซึ่งมีอยู่ 3 เมือง คือ เมืองปา เมืองลุง และเมืองจุงกิง (ตรวจสอบกับตำราอื่นพบว่าเมืองปาเป็นเมืองเดียวกับเมืองจุงกิง) ต่อมาเมื่ออยู่ระหว่าง พ.ศ. 205 – 320 อาณาจักรและเมืองทั้งสามถูกพวกตาดและจีนทำลายลง จึงต้องอพยพหนีลงใต้ แบ่งเป็นหลายพวกหลายสายพวกหนึ่งไปตั้งหลักอยู่ที่บริเวณริมอ่าวตังเกี๋ยและเวียตนาม เรียกว่า ไตดำ ไตขาว และไตจ้วง พวกที่สอง ไปตั้งหลักที่ภาคเหนือของพม่าเป็นอาณาจักรใหม่มีเมืองมาว เป็นเมืองหลวง (ในปี พ.ศ. 523) ต่อมาได้ขยายอาณาจักรออกจนมีเมืองขึ้นถึง 99 เมือง ย้ายเมืองหลวงมาเป็นเมืองแสนหวี พวกที่สามไปกระจายกันอยู่ทั้งทางเหนือและภาคกลางของทั้งไทยและลาว ตั้งเมืองของตนเองตามความเหมาะสม* พวกที่สี่คือพวกที่ไม่ยอมอพยพไปไกลปักหลักสร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่ในจีนที่บริเวณทะเลสาบ เอ๋อห่าย (เมืองหนองแส) ครั้งแรกเรียกอาณาจักรหนองแส ใช้เมืองหนองแสเป็นเมืองหลวงแต่ตั้งเมืองบริวารไว้หลายเมือง เป็นการปกครองแบบเครือญาติเป็นอิสระต่อกัน แต่ช่วยเหลือกันและกันในเรื่องที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน เลยเรียกกันว่า อาณาจักรสหรัฐหนองแส ซึ่งอาณาจักรดังกล่าวตั้งขึ้นประมาณ พ.ศ. 205 ในบริเวณทะเลสาบเอ๋อห่ายอยู่บนที่ราบสูง ในเมืองต้าลี่ มณฑลยูนนานในปัจจุบัน (เมืองต้าลี่นั้นภาษา PinYin เขียนว่า DALI)

7.2) อาณาจักรน่านเจ้านี้มีเมืองหลักๆ อยู่ 6 เมือง คือ เอ้เส้ ล้านกุง สุย ทุ่งช้าง เขียวล้าน และหนองแส มีความรุ่งเรืองจนถึงช่วง พ.ศ. 649 – 674 กษัตริย์ของอาณาจักรคือ พระเจ้าสีนุโล (จีนเรียกสีหนุหล่อ) ได้ประกาศสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ยกเลิกระบอบสหรัฐ แต่เปลี่ยนเป็นการปกครองในระบอบราชาธิปไตย อยู่ต่อมาเกิดมีกษัตริย์ที่มีความสามารถในการทำสงครามเป็นนักรบที่มีชื่อเสียง ชื่อว่า ขุนบรมราชาธิราช (จีนเรียกปีล่อโกะ) ได้ขยายอาณาจักรเพิ่มขึ้นอีก 12 เมือง ทำสงครามชนะกองทัพของราชวงค์ถังโดยตลอด จนฮ่องเต้ราชวงค์ถังขอเจริญสัมพันธไมตรีไม่บุกรุกกัน ครั้งหนึ่งทางจีนขอให้ขุนบรมฯ ยกทัพไปช่วยรบกับกองทัพพวกอาหรับที่มารุกรานจีนที่ซินเกียง ขุนบรมฯ รบชนะพวกอาหรับอย่างสวยงาม จนทางจีนให้สมญานามว่าเป็น “ยูนนานอ๋อง”* ต่อมาอีกไม่นานก็เกิดมีกษัตริย์นักรบของชาวไตอีกพระองค์หนึ่งชื่อ ขุนลอราชาธิราช (จีนเรียกโกะล่อฝง) สามารถขยายอาณาจักรเพิ่มขึ้นอีก 32 เมือง (รวมทั้งเมืองเฉินตูด้วย) มีความสามารถสูงในสงครามรบชนะกองทัพราชวงค์ถังโดยตลอด จนกษัตริย์ของอาณาจักรทิเบต ถวายพระสมญานามว่าเป็นจักรพรรดิแห่งภาคตะวันออกเรียกเป็นภาษาจีนว่า “ตงตี้”** เลยทีเดียว พอถึง พ.ศ. 1286 อาณาจักรน่านเจ้าจึงเป็นที่รู้จัก และเกรงขามในฐานะเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ทางตอนล่างของประเทศจีนจนบางคนเรียกว่า “อาณาจักรต้าเหมิง” และบางคนก็เรียกว่า อาณาจักรไตอ้ายลาว เป็นที่เกรงขามของทั้งจีนและทิเบต

7.3) อาณาจักรน่านเจ้าถูกจักรพรรดิกุบไลข่านยึดได้ใน พ.ศ. 1823 จริงหรือไม่… หลังจากการมีกษัตริย์นักรบชื่อกะฉ่อนที่ได้สมญานามว่า “ยูนนานอ๋อง” และ “ตงตี้” แล้ว กษัตริย์องค์ต่อๆมาก็ไม่มีใครเข้มแข็ง จนถึง พ.ศ. 1420 สมัยพระเจ้าฟ้าเป็นกษัตริย์น่านเจ้า ฮ่องเต้จีนจึงขอเจริญสัมพันธ์ไมตรีโดยพระราชทานพระราชธิดาชื่อ “หงางฝ่า” มาให้เป็นมเหสี เพื่อใช้พระราชธิดาเป็นเครื่องมือในการรุกเงียบโดยค่อยๆ ผันแปรขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีภายในราชสำนักของชาวไตให้มีแบบแผนเป็นแบบของจีนให้มากขึ้นตามลำดับ ให้ประชาชนชาวไตค่อยๆ นับถือบูรพกษัตริย์ของจีนมากกว่าบูรพกษัตริย์ของชาวไต จนประชาชนส่วนหนึ่งเริ่มนิยมจีน กษัตริย์องค์ต่อๆ มาก็มีเลือดจีนผสมได้ดำเนินนโยบายกลืนชาติของชาวไตติดต่อกันมา จนคนชาวไตส่วนหนึ่งที่ยังรักสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ของตนทนไม่ได้ต้องอพยพลงใต้ไปสมทบกับชาวไตที่อพยบไปก่อนหน้านั้นแล้ว พวกที่เหลืออยู่ก็เกิดการแตกแยกความสามัคคี ไม่มีใครนับถือใคร ไม่มีพี่มีน้องกันแบบจารีตของชาวไตอีกต่อไป จึงเกิดการไม่เชื่อฟังกฎเกณฑ์การเปลี่ยนถ่ายอำนาจตามประเพณี มีการฆ่าฟันกันเองเพื่อแย่งราชสมบัติ จนถึง พ.ศ. 1823 อาณาจักรสิ้นสุดลงจากการโจมตีของจักรพรรดิกุบไลข่าน อาณาจักรแตกดับลงด้วยเหตุประการฉะนี้

ชาวไตที่ยังคงมั่นคงในความเป็นไตยังภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ของตนก็ถึงคราวอพยพลงใต้อีกเป็นจำนวนมาก พวกที่แปรพักตร์ไปเป็นจีนก็คงอยู่ในจีนเป็นขี้ข้าของพวกมองโกลต่อไป พวกที่อพยพลงใต้ครั้งใหญ่นี้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ

8.1) กลุ่มไตหลวง กลุ่มนี้ได้อพยพไปอยู่กับชาวไตในอาณาจักรเมืองมาว (หรือแสนหวี) แต่อยู่ต่อมาก็ถูกชนเผ่า “มิรันดา” รุกรานจนอาณาจักรล่มสลาย ส่วนหนึ่งกระสานซ่านเซ็นไปอยู่กับชาวไตในอาณาจักรไทอาหมที่รัฐอัสสัมในอินเดีย (พ.ศ. 1753 – 2369) บางส่วนก็ยอมอยู่ที่เดิมกลายเป็นชนกลุ่มน้อยของพม่า (ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐฉาน จนถึงปัจจุบัน) บางส่วนก็หนีมาตั้งอาณาจักรใหม่ที่ลุ่มน้ำโขง(เชียงราย)

8.2) กลุ่มไตอ่อน กลุ่มนี้ได้ลงใต้มาสมทบในการสร้างอาณาจักรโยนกที่ลุ่มน้ำโขง บางส่วนก็ไปสร้างอาณาจักรใหม่ที่ประเทศลาว เช่น อาณาจักรเชียงขวาง อาณาจักรโคตรบูรณ์ทางอีสานของไทย (มีนครพนมเป็นศูนย์กลาง) อีกกลุ่มหนึ่งลงไปอยู่แถวสุโขทัยตอนหลังร่วมกำลังกับพ่อขุนบานเมืองและพ่อขุนบางกลางหาวประกาศเอกราชจากการปกครองของอาณาจักรขอมเกิดอาณาจักรใหม่เรียกอาณาจักรสุโขทัยในประมาณ พ.ศ. 1780

9) จากจดหมายเหตุของนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสชื่อ ลา ลูแบร์ ในเรื่อง “พระราชพงศาวดารศรีอยุธยา ฉบับสมเด็จพระนพรัตน์” นั้นตรงกับพงศาวดารเมืองเงินยาง เชียงแสน โดยสังเขปของพระมหาสมณเจ้า กรมปรมานุชิตชิโนรส ที่ระบุตรงกันว่า พระเจ้าอู่ทอง (พระรามาธิบดีที่ 1) ผู้สถาปนาราชอาณาจักรอยุธยา โดยทรงสร้างเมืองอยุธยาเป็นราชธานีนั้น สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากพระเจ้าพรมมหาราช* แห่งเมืองโยนกนคร ซึ่งต่อมาสายเลือดของท่านได้เสกสมรสกับบุคคลในราชวงค์พระร่วงแห่งสุโขทัยเราจึงได้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นกษัตริย์ของทั้งอยุธยาและสุโขทัย และในยุคพระเจ้าตากสินฯ ได้ร่วมกับรัชกาลที่ 1 (พระพุทธยอดฟ้า) และพระอนุชา (สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาถ) ได้ยกทัพไปขับไล่พวกพม่าที่ยึดอาณาจักรล้านนามาร่วม 300 ปี โดยมีพระเจ้ากาวิละและพระยาจ่าบ้านร่วมกับพี่น้องชาวเหนือจำนวนมากเป็นทัพหน้าจนกองทัพพม่าแตกพ่ายหนีออกจากล้านนา อาณาจักรล้านนาจึงได้ประกาศเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสยามในปี พ.ศ. 2317 และที่เรามีประเทศไทยให้ได้อยู่อาศัยอย่างมีอิสระและมีอธิปไตยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกนักล่าเมืองขึ้นใดๆ ก็เพราะพระปรีชาสามารถของกษัตริย์ในราชวงค์จักรีร่วมกับสถาบันกองทัพไทย และประชาชนชาวไทยผู้ยอมเสียสละเลือดเนื้อด้วยความรักชาติยิ่งชีพกันมาโดยตลอด

10) บทเรียนที่ได้จากอาณาจักรน่านเจ้า… ดังได้กล่าวมาแล้วในหัวข้อ 7.3 ว่าเมื่อประมาณ พ.ศ. 1420 วิธีการเดียวที่จีนจะปราบอาณาจักรน่านเจ้าได้ก็โดยการต้องใช้กุศโลบาย #รุกเงียบ เพื่อแสดงออกให้เห็นว่าปกระเทศจีนเป็นมหามิตรที่ดีของอาณาจักรชาวไต ฮ่องเต้จีนในสมัยนั้น จึงได้พระราชทานพระธิดาชื่อ “พระนางหงางฝ่า” ให้มาเป็นพระมเหสีของกษัตริย์แห่งอาณาจักรน่านเจ้าคือพระเจ้าฟ้าโดยฮ่องเต้มอบหมายให้พระราชธิดาใช้นโยบายค่อยๆ เปลี่ยนชาวไตให้เลิกนับถือจารีตประเพณีของชาวไต ให้ไปนิยมจารีตประเพณีของจีนว่า ดีกว่าเหนือกว่าของชาวไต (เรียกว่า #สอนให้ชังชาติตนเอง) ซึ่งพระนางหงางฝ่าคงจะต้องใช้วิธีการหลายๆ ทางจึงจะสำเร็จได้ ผมเกิดไม่ทันในสมัยนั้น แต่ขออนุญาตเดาว่าพระนางคงน่าจะทำดังต่อไปนี้

10.1) ตั้งหน่วยงาน CIA (CHINA’S INTELLIGENCE AGENCY) เพื่อทำหน้าที่บ่อนทำลายความเป็นปึกแผ่นของชนชาติไตให้แตกแยกกันเองให้ได้

10.2) พระนางคงน่าจะตั้งหน่วยงานที่เรียกว่า NED (National Endowment for HUANG Di) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่คอยรับเงินจากพระนางเพื่อไปจ้างชาวไตบางส่วนที่เห็นแก่เงินมากกว่าเห็นแก่ชาติไปปลุกระดมชาวไตด้วยกันโดยเฉพาะพวกที่ยังเด็กหรือโตแล้วแต่อับปัญญาให้หันเหจากความรักชาติของตนเองเป็นชังชาติของตนเองและเห็นจีนดีกว่าชาติอันเป็นเผ่าพันธุ์ของโคตรพ่อโคตรแม่ของตนเองให้สิ้น**

10.3) พระนางในฐานะเป็นราชทูตของพระบิดาก็คงจะขอข้าราชการเก่งๆ จากพระบิดามาตั้งให้เป็นที่ปรึกษา คงทรงจ่ายเงินให้ที่ปรึกษา (ผู้ชาย) เอาไปเลี้ยงต้อยสาวๆ ชาวไตที่เห็นเงินดีกว่าชาติยอมเปลืองตัวชี้ช่องให้ข่าวเพื่อช่วยชาวจีนให้สามารถบ่อนทำลายประเทศของตนตามที่นายเงินเขาสั่งมา (รับเงิน – ทำงาน – แล้วก็รายงานผล)

10.4) พระนางคงจะขอพระบิดาให้ส่งนักวิชาการที่พูดเก่งๆ ชั้นครูให้มาแทรกซึมตามสถาบันการศึกษาเพื่อหว่านพืชความชังชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ของราชอาณาจักรชาวไตให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

แน่นอนพระนางอาจจะทำไม่สำเร็จในช่วงชีวิตของพระนางแต่ลูกๆ ของพระนางก็เป็นผู้สืบราชสมบัติเป็นกษัตริย์น่านเจ้าองค์ต่อๆ ไป ทุกคนล้วนสืบทอดนโยบาย #รุกเงียบกลืนชาติไตให้เป็นชาติจีน ให้ได้ (ก็คงใช้หน่วยงาน CIA และ NED เป็นหลักเหมือนเดิม) ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ เมื่อจักรพรรดิกุบไลข่านยกทัพมายึดอาณาจักรน่านเจ้าได้ใน พ.ศ. 1823 นั้น ใครอย่าไปคิดว่าพวกมองโกลยึดอาณาจักรของชาวไตไปนะครับ เพราะพวกเขาแค่ยึดได้อาณาจักรที่เป็นของชาวไตแต่เพียงกายแต่ใจเป็นจีนไปเกือบหมดแล้ว แค่นั้นเองครับ

ผมไม่ทราบว่าคนไทยได้สำนวนบางอย่างมาจากไหน แต่สำนวนที่ว่า #เรียบร้อยโรงเรียนจีนน่าจะใช้ได้ดีกับประวัติศาสตร์ตอนปลายของอาณาจักรน่านเจ้า แล้วคิดหรือว่ามันจะไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นมาอีกกับประเทศไทยที่เป็นที่รักของเรา ถ้าเรายังอยู่ในความประมาท โดยลืมคิดไปว่าไม่มีแผ่นดินให้อพยพไปที่อื่นได้อีกแล้ว

ผมขอเรียนว่าบทความที่ลงในเฟซบุ๊ก เป็น #ความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรคปชปแต่อย่างใด.