นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เขียนบทความเรื่อง “กระแสคนรุ่นใหม่กับตุลาการภิวัฒน์ยุคใหม่” โดยมีเนื้อหาดังนี้
ที่จริงสถานการณ์การหมดหวัง กับอนาคตประเทศชาติ ถึงกลับคิดย้ายประเทศ จนเป็นกระแสใหญ่ในตอนนี้นั้นคล้ายกับช่วงหลัง 6 ตุลา.19
ถ้าจะเปรียบเทียบการย้ายเข้าไปอยู่ในป่าเขา ของคนรุ่นใหม่และนักวิชาการยุคนั้นเพื่อร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยสมัยนั้น ก็เพราะหมดหวังต่อระบบเผด็จการ 12 ปี ภายหลังการเข่นฆ่าหมู่นักศึกษาประชาชนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ 6 ตุลา.2519
แต่ยุคนี้ทหารและรัฐบาล กลับใช้กฎหมาย มาตรา 112 และกฎหมายอื่น ปิดปากคนรุ่นใหม่และนักวิชาการ คนรุ่นใหม่จึงเกิดอาการอยากทิ้งประเทศไทยเพราะลักษณะการปกครองแบบเผด็จการทหารในคราบประชาธิปไตย ก็คล้ายกับยุคหลัง 2519 ที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพ
ผิดแต่ที่คนรุ่นใหม่ยุคนั้น ยังมีความหวังกับขบวนการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่จะกลับมาเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นสังคมนิยม
แต่เมื่อพบว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยถูกครอบงำด้วยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่ต่อคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
เมื่อคนรุ่นใหม่แตกออกจากป่าเขา ส่วนหนึ่งก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ เพื่อปรับความรู้และความคิดการพัฒนาประเทศกันใหม่
อีกส่วนหนึ่งอยู่ในประเทศ สร้างองค์กรการพัฒนาเอกชนขี้นมาใหม่กับสร้างงานธุรกิจของตัวเอง
และส่วนหนึ่งเข้าร่วมสร้างพรรคการเมืองกับผู้นำพรรคที่เป็นความหวัง กรณีพรรคพลังธรรม ก่อนแตกตัวมาเป็นพรรคไทยรักไทย ถือเป็นตัวอย่างหนึ่ง
เมื่อเทียบกับพรรคอนาคตใหม่ คนรุ่นใหม่รุ่นนี้ ตั้งความหวังการทำการเมืองใหม่กับพรรคนี้เช่นเดียวกัน
แต่การนำที่ผิดพลาดของผู้นำทั้งสองพรรค กับการมุ่งทำลายพรรคกับผู้นำพรรคทั้งสองด้วยกระบวนการทางกฎหมายและการทหาร ที่มีทั้งเหตุความไม่สุจริตและแนวทางนโยบายด้วยทำให้ทั้งพรรคไทยรักไทย และพรรคอนาคตใหม่ ถูกจำกัดบทบาทลง ถึงจะมีการแตกตัวเป็นพรรคการเมืองอื่นได้อีกก็ตาม
ประเด็นความคิดของคนรุ่นใหม่ยุค 6 ตุลา.19 กับคนรุ่นใหม่ยุคนี้ จะมีอะไรที่คล้ายกัน แต่แนวทางทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ในยุคนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน เมื่อเทียบกับคนรุ่นใหม่ยุคโน้นแต่คนรุ่นใหม่ยุค 6 ตุลา.19 ก็ออกมาหนุนคนรุ่นใหม่ พศ.นี้กันสุดตัว
วันนี้ คนรุ่นใหม่ยุคนี้ หันมาสร้างกระแสการทิ้งประเทศ ซึ่งเชื่อว่าเป็นเพียงอาการที่แสดงความไม่พอใจการเมืองการทหาร ความอยุติธรรมในตอนนี้เท่านั้น และแถมความไม่พอใจในอนาคตของตนเองที่พร่ามัว
เชื่อว่าถ้ามีความหวังจากการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนรัฐธรรมนูญ 2560กระแสการละทิ้งประเทศของคนรุ่นใหม่ก็จะตีกลับ กลายเป็น “คนรุ่นใหม่จะขออยู่ตรงนี้ สู้ตรงนี้” เพื่อสร้างประชาธิปไตยกันอีกครั้งหนึ่ง
การที่มีกระแสซ้ายจัด กระแสขวาจัด ในตอนนี้ ก็เป็นเพียงปรากฎการณ์การทางการเมืองธรรมดา เหมือนช่วงยุคสมัยระหว่าง 14 ตุลา.16 ถึง 6 ตุลา.19 ที่สังคมกำลังจะเคลื่อนตัวไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหม่อีกครั้งหนึ่ง
แต่สถานการณ์ปัจจุบันจะไม่ย้อนกลับไปเหมือนกับสถานการณ์เมื่อ 6 ตุลา.19 ที่ฝ่ายขวาจัด จัดการคนรุ่นใหม่ด้วยอาวุธถึงบาดเจ็บล้มตายอย่างโหดร้ายทารุณ
วันนี้รัฐไทยนำการต่อสู้ด้วยกฎหมายมาใช้กับคนที่คิดต่างเพียงแต่ขบวนการของผู้มีอำนาจในระดับกระบวนการยุติธรรมในระบบ จะใช้กฎหมายอย่างเข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้หรือไม่ หรือเพียงอื้อต่ออำนาจรัฐเท่านั้น
ถ้าเข้าใจ ก็จะช่วยนำพาประเทศเปลี่ยนแปลงไปได้ เหมือนสมัยยุค “ตุลาการภิวัฒน์”
“ตุลาการภิวัฒน์” ถ้าจะกลับมา จะต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของผู้มีอำนาจรัฐ แต่เข้าใจความคิดของคนรุ่นใหม่และช่วยนำพาความคิดสร้างสรรค์พัฒนาประเทศไปสู่ประชาธิปไตยโดยประชาชน และเป็นของประชาชน
“ตุลาการภิวัฒน์” ต้องนำพาคนรุ่นใหม่ให้เดินไปในแนวทางประชาธิปไตยของประทศ และช่วยยับยั้งไม่ให้ประเทศเดินไปในเส้นทางเผด็จการทหารผสมประชาธิปไตยจอมปลอมแบบที่เป็นอยู่ในขณะนี้
“ตุลาการภิวัฒน์” ก็จะกลับมามีบทบาทอีกครั้งหนึ่ง และคนรุ่นใหม่ก็จะมีความหวังต่อประเทศนี้