‘นิพิฏฐ์’ ระบุอ่านคำร้องฝากขัง ‘ลุงพล’ เหมือนเปิดไพ่ ให้ทนายฝ่ายผู้ต้องหาแทงเลย

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ทนายความ และนักการเมืองชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า “อ่านข่าว พนักงานสอบสวน ยื่นคำร้องฝากขังลุงพล หากผมเป็นทนายความของผู้ต้องหา ผมชอบ เพราะพนักงานสอบสวนบรรยายพฤติการณ์แห่งคดีละเอียดยิบ เหมือนเปิดไพ่ให้แทง แต่หากผมเป็นฝ่ายโจทก์ ผมไม่ชอบเพราะผมไม่ต้องการเปิดข้อเท็จจริงหมด เพราะหากมีพยานหลักฐานเพิ่มขึ้นอันทำให้ขึ้นเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป ก็ยากที่จะนำเข้าไปในสำนวน เพราะอาจเป็นจุดอ่อนได้ ก็คอยดูฝีมือของแต่ละฝ่าย”

และนายนิพิฏฐ์ โพสต์ ก่อนหน้านี้ว่า คดีลุงพล ท้าทายกระบวนการยุติธรรม? ว่าจะไม่เขียนเรื่องนี้แล้ว แต่อดไม่ได้ เมื่อเช้าเลยถามภรรยาอย่างจริงจังเพื่อเป็นข้อมูลก่อนเขียน ว่า ลุงพลคนนี้แกเป็นใคร ทำไมคนสนใจกันมาก แกเป็นดารา หรือเป็นนักร้อง ? ภรรยาเลยเล่าให้ฟังว่า แกก็เป็นคนธรรมดานี่แหละ แต่สื่อบางสำนักก็จับเอาแกมาทำข่าวจนแกโด่งดัง ฟังแล้วก็ตกใจว่า ทำไมสังคม และ สื่อ ไปไกลถึงขนาดนี้ ก็เลยนึกถึงคำๆหนึ่งขึ้นมาได้ ว่า “ถ้าจะรู้ว่าสังคมนั้นๆเป็นอย่างไร ก็ให้ดูว่าคนในสังคมเขาคุยกันเรื่องอะไร” เอาเถอะ ไหนๆก็จะเขียนเรื่องนี้แล้ว ก็จะเขียนอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ให้อ่านกัน

1.ผมไม่ติดตามคดีนี้ตั้งแต่ต้นเพราะสงสารเด็กและครอบครัวเด็กที่เสียชีวิต แต่คิดว่าขอให้ตำรวจจับคนร้ายให้ได้เถอะ เมื่อผบ.ตร.ท่านนี้ขึ้นมารับตำแหน่งใหม่ๆ ก็ได้ยินท่านพูดถึงเรื่องนี้ ก็ดีใจว่าท่านสนใจคดีนี้

2.ไปอ่านดูหมายจับ ตำรวจไม่ได้ขอหมายจับในข้อหา ฆ่าผู้อื่น แต่เป็นข้อหา พรากผู้เยาว์,ทอดทิ้งเด็กจนเป็นเหตุให้เด็กนั้นถึงแก่ความตาย และ ข้อหากระทำการใดแก่ศพจนเป็นเหตุให้ผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป จากข้อหาดังกล่าว พนักงานสอบสวน จึงสรุปว่า เป็นการทอดทิ้งเด็กจนเด็กถึงแก่ความตาย แต่หากดูย้อนหลัง แนวการสอบสวนเป็นไปในทาง”ฆ่าผู้อื่น” เช่น ข่าวที่ออกมาว่า เด็กเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ หากเด็กเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ ระวังนะครับ ความผิดมันน่าจะไปทาง”ฆ่า” มิใช่”ทอดทิ้ง” เพราะหากฟ้องว่าทอดทิ้ง แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่าเป็นการฆ่า ศาลจะลงโทษได้หรือเปล่า นั่นก็เป็นข้อกฎหมายอีกเรื่องหนึ่ง ข้อเท็จจริงเรื่องสาเหตุการตาย และตายตอนไหน จึงเป็นเหตุสำคัญ

การสอบสวนเพื่อเอาผิดใครก็ตาม จึงต้องใช้พนักงานสอบสวนที่มีฝีมือระดับพระกาฬ มาสอบสวน ใครที่ทำให้เด็กเสียชีวิต ไม่ว่า จะเป็นการ”ฆ่า” หรือ”ทอดทิ้งจนเด็กถึงแก่ความตาย”ต้องใช้ฝีมือในการสอบสวน ซึ่งหากดูหมายจับ พนักงานสอบสวนก็ฟันธงแล้วว่าเป็นการ”ทอดทิ้ง” มิใช่ “การฆ่า” เรื่องนี้พนักงานสอบสวนคงต้องขอความร่วมมือจากพนักงานอัยการอย่างใกล้ชิดพอสมควรเหมือนกัน ทั้งนี้ ไม่ใช่อะไรหรอก เพียงเพื่อเอาตัวผู้กระทำผิด (ซึ่งเป็นใครเราไม่รู้) มาลงโทษให้ได้ คดีนี้ ท้าทายกระบวนการยุติธรรมของเมืองไทยพอสมควรนะครับ”

สำหรับคำร้องฝากขังนายไชย์พล ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 63 ช่วงเวลา 9.00-9.45 น.ผู้ต้องหาได้พาตัวเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพูวงศ์ศรีชาอายุ 3 ปี2เดือนซึ่งเป็นลูกสาวของนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา มารดาและนายอนามัย วงศ์ศรีชาบิดาไปในขณะเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 73หมู่ 2 ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ. มุกดาหารของตนติดกับบ้านเลขที่ 73 หมู่ 2ต.กกตูม อ. ดงหลวงจ. มุกดาหาร โดยปราศจากเหตุอันสมควรจากนั้นได้นำตัวเด็กหญิงอรวรรณหรือน้องชมพู่ ไปซุกซ่อนและทอดทิ้งไว้ที่บริเวณป่าท้ายหมู่บ้านอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวงจ.มุกดาหารทางขึ้นเขาภูเหล็กไฟเพียงลำพังโดยปราศจากผู้ดูแล แล้วไปทำธุระรับส่งพระหลังเกิดเหตุชาวบ้านได้ช่วยกันออกติดตามหาตัวเด็กหญิงอรวรรณหรือน้องชมพู่ แต่ไม่พบตัวภายหลังเมื่อผู้ต้องหาเสร็จธุระส่งพระจึงย้อนกลับมานำตัวเด็กหญิงอรวรรณหรือน้องชมพู่

ซึ่งยังไม่เสียชีวิตและพยายามเดินหาทางกลับบ้านขึ้นไปซุกซ่อนและปล่อยทอดทิ้งไว้บนเขาภูเหล็กไฟเพียงลำพังอีกครั้งให้พ้นไปเสียจากตนโดยปราศจากผู้ดูแลเป็นเหตุให้เด็กหญิงอรวรรณซึ่งไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เพราะเป็นเด็กมีอายุเพียง 3ปี2เดือนไม่สามารถออกจากบริเวณเขาภูเหล็กไฟที่ถูกปล่อยทอดทิ้งไว้ได้จนกระทั่งหมดแรงและเสียชีวิตบนเขาภูเหล็กไฟในเวลาต่อมาจากนั้นผู้ต้องหาได้เข้าไปกระทำการแก่ศพของเด็กหญิงอรวรรณฯ และสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพโดยถอดเสื้อผ้าจัดท่าทางของศพเพื่อให้เข้าใจว่ามีการประทุษร้ายทางเพศต่อเด็กหญิงอรวรรณ และใช้ของแข็งมีคมตัดสับฟันไปที่เส้นผมของเด็กหญิงอรวรรณ เพื่อนำไปประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อทางไสยศาสตร์อันเป็นการกระทำการแก่ศพและสภาพแวดล้อมบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไปโดยได้พบศพเด็กหญิงอรวรรณฯ นอนเสียชีวิตอยู่บนเขาภูเหล็กไฟชั้นที่ 5 ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้านกกกอกไปประมาณ 1.3กิโลเมตรในวันที่ 14 พ.ค.63 เวลาประมาณ 19.00 น. ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดมุกดาหารลงวันที่ 1 มิ.ย.64 นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาและพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดให้ผู้ต้องหาทราบในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 306มาตรา 308และมาตรา 317และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150ทวิมีอายุความดำเนินคดี 15ปี

โดยพนักงานสอบสวนได้รับตัวผู้ต้องหาไว้ดำเนินคดีเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.64 เวลา 16.33 น. ซึ่งได้ทำการสอบสวนและควบคุมตัวผู้ต้องหามาโดยตลอดจะครบ 48 ชั่วโมงในวันที่ 4 มิ.ย.เวลา16.33 น.หาก แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นเนื่องจากต้องทำการสอบสวนพยานเพิ่มเติมในคดีอีก 15ปากรอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหาด้วยความจำเป็นดังกล่าวจึงขออนุญาตฝากขังผู้ต้องหาครั้งเเรกเป็นเวลา 12วันเนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษสูงหากปล่อยตัวไปเกรงผู้ต้องหาจะหลบหนีและไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุร้ายประการอื่นจึงขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา

พนักงานสอบสวนมีความประสงค์ขอดำเนินการยื่นคำร้องฝากขังโดยขอให้ศาลสอบถามผู้ต้องหาหรือทำการไต่สวนพยานหลักฐานในการออกหมายขังผู้ต้องหาผ่านระบบการประชุมทางจอภาพในการฝากขังครั้งต่อ ๆ ไปทุกครั้ง.