‘ลุงกำนัน’ เปิดใจเป็นห่วงลูกหลาน ข้องเกี่ยวมาตรา 112 ติดคุกไม่ใช่เรื่องสนุก

สุเทพ เทือกสุบรรณ

สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ได้เผยแพร่รายการ “คุยกับลุง” EP5 ในวันนี้เป็นการคุยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อจาก EP 4

สุเทพ กล่าวว่าเวลาผ่านมา 1 สัปดาห์เราเห็นชัดเจน พวกหนึ่งก็สุดโต่งมาก ถึงขนาดว่าต้องยกเลิกไปเลยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ให้มีอีกต่อไป อ้างเหตุผลมากมาย ซึ่งไม่ถูกใจพวกเราคนไทยทั้งนั้น ในการยกเหตุผลนั้นๆมา อีกพวกหนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายพรรคการเมือง ก็ประกาศว่า จะแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยย้ายจากหมวดความผิดต่อรัฐ ต่อ ความมั่นคงรัฐ หรือ ต่อความมั่นคงต่อราชอาณาจักร ไปไว้ในลักษณะความผิดอื่น ที่เป็นการเฉพาะ เพราะว่าต้องการที่จะให้มีโทษเบาลง

แล้วประกาศชัดอีกว่า ถ้าหากผู้ใดกระทำการวิพากษ์ วิจารณ์ หรือแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต หรือ ติชมโดยสุจริต ไม่ต้องรับโทษในฐานะ ที่กระทำความผิดตามมาตรา 112 เรียกว่ายกเว้นโทษให้คนที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์ พระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือ รัชทายาท ตรงนี้คนไทยเขาไม่ยอม

สุเทพ กล่าวต่อไปว่ามีตัวเลขออกมาชัดว่า คนจำนวนถึง 98 % ที่คิดเห็นเหมือนกัน ลึกลงไปในเรื่องว่า เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย กับการพยายามที่จะแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ปรากฏว่า ประชาชนคนไทย 96.1% ไม่เอาด้วย ไม่เห็นด้วย ที่เขาไม่เห็นด้วยนี้ ถ้าติดตามข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เดินทางไปต่างประเทศในระหว่างนั้น ที่เขามีการพูดจากันในเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พล.อ.ประยุทธ์ ไปประชุมระหว่างประเทศ อยู่ที่ ประเทศสกอตแลนด์ กลับมาพล.อ.ประยุทธ์ ก็ประกาศทันทีว่า ไม่ยอม ไม่เห็นด้วย ไม่ให้ใคร มาแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

“ทำไมพล.อ.ประยุทธ์ถึงประกาศชัดเจนอย่างนั้นก็ เพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ เป็นหัวหน้าคณะผู้บริหารประเทศ ต้องทำหน้าที่ ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เอาไว้รัฐธรรมนูญบัญญัติถึงหน้าที่ของประชาชนคนไทยว่า จะต้องพิทักษ์รักษา สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 50 ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญ ก็บัญญัติไว้ในมาตรา 52 ว่า รัฐจะต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช สถาบันเกียรติภูมิของชาติ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องแสดงท่าที ต้องทำหน้าที่ เรื่องของการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ถ้าไม่พูดอย่างนี้ ไม่แสดงอย่างนี้ ถือว่าบกพร่อง เหมือนกับคนไทยทั่วไป ที่เขามีความรู้สึกว่า ถ้าเขาไม่แสดงออกเรื่องอย่างนี้ เขาไม่สบายใจ บกพร่องต่อหน้าที่”

นายสุเทพ กล่าวอีกว่ารู้สึกเป็นห่วง ผู้ที่กำลังเคลื่อนไหวสนับสนุนให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตนคิดว่าผู้ที่เป็นนักการเมือง เป็น ส.ส. เป็นพรรคการเมืองมีกฎหมายเยอะแยะ ที่ควรจะไปแก้ไข ปรับปรุง เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น ไม่น่าที่จะมาทำเรื่องกฎหมายนี้ ซึ่งมีผลกระทบ ต่อจิตใจของประชาชนส่วนใหญ่ พรรคการเมือง นักการเมือง ที่ยังดึงดัน ที่จะผลักดัน ที่จะแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 คิดว่า จะต้องถูกคนไปร้องเรียน อาจจะไปร้องเรียนต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือ ร้องเรียนต่อศาลฎีกา หรือ แม้แต่ไปร้องทุกข์เพื่อให้ดำเนินคดีอาญา คนที่ทำไปแล้ว ดูหมิ่น ให้ร้ายต่อพระมหากษัตริย์ไปแล้ว ก็ถูกดำเนินคดีอยู่ แค่ไปขึ้นเวทีไปสนับสนุน ไปชุมนุมด้วยก็ผิดนะ ไม่ใช่คนที่เสนอให้แก้ แต่เป็นคนที่ไปพูดจาสนับสนุน เกิดปัญหาได้ มีประมวลกฎหมายอาญา อีกมาตราหนึ่ง ที่มีคนกล่าวถึงอยู่บ้าง

“คือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ถ้าผู้ใดกระทำด้วยวาจา หนังสือ หรือ วิธีการอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ มีโทษจำคุก มีองค์ประกอบไว้ว่า ถ้าการกระทำนั้น ทำให้เกิดปั่นป่วน กระด้าง กระเดื่อง ในหมู่ประชาชน เป็นการกระทำเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน มีโทษจำคุกสูงถึง 7 ปี อย่าไปคิดว่าผมมาข่มขู่ แต่เป็นการแสดงคิดเห็นในฐานะที่เป็นพี่น้องร่วมชาติ ผมเจอมาแล้ว ผมไปชุมนุมเดินขบวนปี 2556-2557 ขึ้นเวทีปราศรัยเรียกร้องให้ข้าราชการหยุดทำงานรับใช้ระบอบทักษิณ ไม่เป็นเครื่องมือให้เขาทำการทุจริตคอร์รัปชัน และให้มาร่วมชุมนุมกับประชาชนแค่นี้ เข้าข่ายความผิดมาตรา116 ว่า เป็นการกระทำที่ไม่ใช่ความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ ผมก็สู้นะว่าดำเนินการอย่างนี้ ผมก็ยกรัฐธรรมนูญให้ดูแล้วมันเข้าข่ายจริงๆ”

อดีตเลขาธิการ กปปส. กล่าวว่า เพราะรัฐธรรมนูญ มีความมุ่งหมายที่จะพิทักษ์รักษาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ปกป้ององค์พระประมุขของชาติ ตนก็โดนข้อหานี้ ขึ้นเวทีปราศรัยเรียกร้องให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไป ให้ปฏิรูปประเทศให้เสร็จก่อน แล้วค่อยให้มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไป ก็โดนความผิดนี้ ต่างกรรมต่างวาระ ทำเมื่อไรก็ผิดกระทงหนึ่ง วาระไหนก็ผิดอีกกระทงหนึ่ง โดนไป 3 กระทง สู้คดีมา 2 ปีกว่า ในที่สุดศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุก 5 ปี เพื่อนๆโดนกันทั้งนั้น ที่มาร่วมด้วย

“เพราะฉะนั้นผมเคยพบเคยเห็น เคยมีประสบการณ์ ก็เอามาบอกเล่าให้ท่านทั้งหลายที่กำลังเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ว่า โปรดมีสติยั้งคิดสักนิด ไม่สนุกเลยเรื่องติดคุก ผมไปมาแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกผม 5 ปี วันนั้นมีปัญหาเรื่องการประกัน ท่านไม่ให้ประกัน ผมต้องไปอยู่ในคุก 3 วัน 2 คืน กินข้าวในคุก นอนในคุกมาแล้ว ทุกข์ยากมาก บอกเลย หลีกเลี่ยงได้ เปลี่ยนใจเถอะ”

อดีตเลขาธิการ กปปส. กล่าวต่อว่าตนเจอมาแล้วถึงมาเล่าให้ฟัง นี่ก็เป็นห่วงน้องๆ ที่มาเดินขบวนในใจคิดอะไรก็แล้วแต่ แต่ต้องระวังกว่าการกระทำทุกอย่างมันต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ตนเดินขบวนอยู่กับพี่น้องประชาชน เป็นหมื่นเป็นแสน ทุกข์ยากอย่างไรก็ยังรู้สึกอบอุ่น ถูกประทุษร้ายด้วยอาวุธมีคนบาดเจ็บ 800 – 900 คน มีคนเสียชีวิต 24 คน ทุกข์มากตอนนั้น แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีพวกอบอุ่น ตอนสู้คดี 2-3 ปีว้าเหว่มาก เหลือกันไม่กี่คน ยิ่งตอนติดคุกยิ่งว้าเหว่

“เพราะฉะนั้นถ้าผมพูดาอะไร แล้วทำให้ท่านทั้งหลายได้คิด ได้สติก็ได้โปรดระลึกว่า ด้วยความหวังดีจริงๆ ผมสู้กับระบอบทักษิณ แต่สิ่งที่ท่านกำลังทำ คนไทยไม่ยอมหรอกเรื่องนี้ ท่านเห็นแก่ความสงบสุขของประเทศคิดว่า ต้องยับยั้งชั่งใจเปลี่ยนใจ เพราะว่าจะเป็นชนวนให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระว่าง ท่าน กับ ประชาชนส่วนใหญ่ของแผ่นดินที่จะนำความยุ่งยากลำบากมาทุกฝ่าย

ผมมีความคิดเห็นอย่างนี้ยืนยันด้วยว่า ผมอยู่ฝ่ายที่ไม่เอาด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และผมพร้อมที่จะร่วมขบวนในการต่อสู้กับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศเพื่อที่จะพิทักษ์รักษา สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทำหน้าที่ของเราตามรัฐธรรมนูญ พิทักษ์รัฐธรรมนูญ และเชื่อว่า พี่น้องคนอื่นๆในประเทศ วันนี้ที่แม้จะวางเฉยก็คิดเช่นเดียวกัน เป็นห่วงชาติบ้านเมืองเช่นเดียวกัน ประเทศไทยถ้าเราไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมไม่คิดว่าเราจะรักษา ความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันไว้ได้ ผมไม่คิดว่า เราจะรักษาเอกราชของประเทศไว้ได้

มีตัวอย่างเกิดขึ้นในหลายประเทศทั้งที่อยู่ใกล้บ้านเราและไกลออกไป เมื่อไรที่แตกแยกเป็นประเทศเล็กๆน้อยๆในที่สุดก็ถูกต่างชาติเข้ามาครอบงำ ประเทศไทยเป็นของเราทุกคน ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ช่วยกันคิดช่วยกันให้สติทำสิ่งดีๆ ให้กับบ้านเมืองคนที่คิดดีแล้วก็มีกำลังใจ และเดินหน้าทำกันต่อไปผมอยู่ข้างเดียวกับท่าน”นายสุเทพ กล่าว.