‘บิ๊กฉัตร’ สั่งเร่งพร่องคลองระบายน้ำ 4 สายหลัก แม่น้ำเพชรบุรียังรับได้อีก 30-40%

6 ส.ค.61 – พล.อ.ฉัตรชัย สาลิกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พร้อมด้วยนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน ได้เดินทางมาที่อ่างเก็บน้ำแก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ความจุน้ำ 710 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งขณะนี้มีปริมาณน้ำเต็มเกือบ 100 % แล้ว และมีน้ำล้นสปิลเวย์เมื่อเช้าวันนี้เวลา 10.30 น. เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์การระบายน้ำของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ดังกล่าว โดยมีนางฉัตรพร ราษฎร์ดุษดี ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี และคณะที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำให้การต้อนรับ

คณะรองนายกฯได้เข้าห้องประชุมอ่างเก็บน้ำแก่งกระจาน เพื่อรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำและการเตรียมความพร้อมของจังหวัด จากนั้นคณะได้เดินทางไปยังสันเขื่อนอ่างเก็บน้ำแก่งกระจาน เพื่อติดตามการตรวจระดับน้ำของเขื่อนดังกล่าว ก่อนขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจสภาพพื้นที่โดยรอบของอ่างเก็บน้ำและแนวทางไหลของน้ำจากอ่างเก็บน้ำแก่งกระจานไปยังแม่น้ำเพชรบุรี ผ่านพื้นที่ อ.แก่งกระจาน อ.ท่ายาง อ.บ้านลาด และลงเฮลิคอปเตอร์ที่มณฑลทหารบกที่ 15 (มทบ.15) ค่ายรามราชนิเวศน์ อ.เมือง จ.เพชรบุรี และตรวจคันกั้นน้ำที่ริมแม่น้ำเพชรด้านทิศตะวันออกของ มทบ.15 เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาคันดินกั้นน้ำได้พังทลายลงเป็นเหตุให้น้ำท่วมเข้าสู่ ถ.เพชรเกษม และพื้นที่เขตเทศบาลเมืองเพชรบุรี ซึ่งปีนี้คันกั้นน้ำดาดด้วยซีเมนต์ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จสามารถป้องกันน้ำข้ามตลิ่งได้

พล.อ.ฉัตรชัย เปิดเผยว่า อิทธิพลของพายุโซนร้อนเซินติญ และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ในห้วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่เทือกเขาตะนาวศรี เป็นเหตุให้น้ำบริเวณเหนืออ่างเก็บน้ำแก่งกระจานมีปริมาณน้ำไหลเข้าตัวอ่างมาก แต่ด้วยศักยภาพของอ่างเก็บน้ำแก่งกระจานสามารถช่วยในการชะลอน้ำหลากไม่ให้ลงพื้นที่ด้านล่างคือ แม่น้ำเพชรบุรี ซึ่งไหลผ่าน อ.แก่งกระจาน อ.ท่ายาง อ.บ้านลาด อ.เมือง และ อ.บ้านแหลม ได้มาก ขณะที่สภาพของแม่น้ำเพชรบุรีปัจจุบันมีปริมาณน้ำอยู่ประมาณ 30-40% ของความจุลำน้ำ ซึ่งยังสามารถรองรับน้ำจากการระบายน้ำของอ่างเก็บน้ำแก่งกระจานได้อีกพอสมควร

ด้านตัวแทนของชลประทานร่วมกันแถลงโดยสรุปได้ว่า จากเหตุอุทกภัยเมื่อปลายปี 2559 และปลายปี 2560 ได้มีการดำเนินการไปแล้ว 2 ส่วนคือ เสริมคันกั้นน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อป้องกันน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำเพชร และเร่งขุดลอกท้ายน้ำของแม่น้ำเพชรบุรีเพื่อให้ระบายน้ำได้สะดวกขึ้น

ในช่วงที่ผ่านมาได้เร่งพร่องน้ำในอ่างเก็บน้ำแก่งกระจานเพื่อรองรับน้ำฝน ซึ่งมีข้อจำกัดที่โครงสร้างของระบบระบายน้ำได้สูงสุดไม่เกิน 8.64 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)ต่อวัน ขณะที่ปริมาณน้ำไหลเข้ามีมากกว่านั้น ซึ่งกรมชลประทานได้ติดตั้งกาลักน้ำที่เขื่อนแก่งกระจานจำนวน 12 แถว และเครื่องสูบน้ำ Hydro Flow อีก 20 เครื่อง เร่งพร่องน้ำออกจากอ่างฯรวม 110 ลบ.ม./วินาที หรือ 9.50 ล้าน ลบ.ม./วัน แต่เนื่องจากมีน้ำไหลจากเหนืออ่างอย่างต่อเนื่อง ทำให้พร่องน้ำได้ไม่ทัน ทำให้น้ำล้นสปิลเวย์เขื่อนแก่งกระจาน ซึ่งมีระดับต่ำกว่าสันเขื่อนประมาณ 7.0 เมตร ซึ่งสปิลเวย์สามารถรองรับน้ำไหลผ่านได้สูงสุด 1,380 ลบ.ม./วินาที หรือ 119 ล้าน ลบ.ม./วัน

สำหรับอนาคตของสถานการณ์น้ำต่อจากนี้ กรมชลประทานได้คาดการณ์ว่า น้ำที่ไหลผ่านสปิเวย์สูงสุดที่ 100 ลบ./วินาที หรือ 8.64 ล้าน ลบ.ม./วัน ในวันที่ 10 ส.ค.นี้ โดยจะมีระดับน้ำสูงขึ้นจากสันสปิลเวย์ประมาณ 0.5-0.6 เมตร ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.นี้เป็นต้นไป คาดว่าจะมีน้ำจากการระบายน้ำของอ่างเก็บน้ำแก่งกระจานประมาณ 210 ลบ.ม./วินาที และหากมีฝนตกในพื้นที่แม่น้ำเพชรบุรี จะมีปริมาณน้ำ 230-250 ลบ.ม./วินาที คาดว่าจะทำให้แม่น้ำเพชรบุรีมีปริมาณน้ำผ่านสูงสุดในวันที่ 12 ส.ค.นี้

การบริหารจัดการน้ำที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากการคาดการณ์ดังกล่าว ประกอบด้วย 1.การหน่วงน้ำ/ตัดน้ำเข้าระบบชลประทานฝั่งซ้าย/ฝั่งขวา รวม 55 ลบ.ม./วินาที และผันเข้าคลองระบาย D9 ในอัตรา 35 ลบ.ม./วินาที ทั้งสองส่วนตัดน้ำก่อนถึงเขื่อนเพชร อ.ท่ายาง ซึ่งเป็นพื้นที่กระจายน้ำ 2.ระบายน้ำผ่านเขื่อนเพชรในอัตรา 140-160 ลบ.ม./วินาที ซึ่งแม่น้ำเพชรบุรีมีการพร่องน้ำเตรียมไว้แล้ว ประกอบกับการเสริมคันกั้นน้ำจะไหลผ่าน อ.หนองหญ้าปล้อง อ.ท่ายาง อ.บ้านลาด โดยไม่มีผลกระทบและจะไหลผ่านตัวเมืองเพชรบุรี ซึ่งมีความกว้างของแม่น้ำเพชรบุรีไม่มาก จะทำให้มีระดับน้ำเอ่อล้นตลิ่งท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำริมตลิ่ง/พื้นที่ชุมชนประมาณ 0.2-0.3 เมตร

สำหรับมาตรการเตรียมการช่วยเหลือ ได้กำหนดให้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ในจุดเสี่ยงที่อาจจะมีน้ำเอ่อเข้าท่วมชุมชนจำนวน 30 เครื่อง ติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ ทร. ของกองทัพเรือ ในแม่น้ำเพชรบุรีใกล้ปากอ่าวทะเลบ้านแหลม อ.บ้านแหลม เพื่อเร่งระบายน้ำในจุดที่ระบายน้ำได้ช้า จำนวน 44 เครื่อง เตรียมยานพาหนะและเครื่องจักรกล เช่นรถโกยตัก จำนวน 7 คันประจำในพื้นที่เพื่อขุดเปิดทางน้ำ หากไม่มีฝนตกหนักเพิ่มเติมในบริเวณเหนืออ่างแก่งกระจาน เชื่อว่าจะไม่เกิดวิกฤตเหมือนปีที่ผ่านมา.