หน้ากากขาวบุกยธ.ร้อง ‘สมศักดิ์’ ฟันผับขาใหญ่นำเคยถูกสั่งปิด ดอดเปิดบริการอีกครั้ง

เมื่อวันที่ 8 พ.ย2562 ที่กระทรวงยุติธรรมนายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์พร้อมด้วยนายธีรภัทร์คหะวงศ์ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่นำกลุ่มเครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา(Alcohol Watch) เครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชนและกลุ่มหน้ากากขาวซึ่งเป็นนักเรียนนักศึกษาจากหลายสถาบันกว่า30 คนเข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายสมศักดิ์เทพสุทินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการประสานกำกับติดตามผลการดำเนินงานตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่22/2558 (ศอ.กต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบและดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับสถานบันเทิงที่เคยถูกสั่งปิดกิจการจากกรณีพบยาเสพติดและมีเด็กอายุต่ำกว่า20 ปีเข้าใช้บริการแต่กลับท้าทายไม่เกรงกลัวกฎหมายลักลอบกลับมาเปิดใหม่ในพื้นที่เดิม 

นายชูวิทย์ กล่าวว่าเครือข่ายฯได้นำหลักฐานการกระทำผิดกฎหมายของสถานบริการที่ลักลอบกลับมาเปิดใหม่2 ร้านในพื้นที่กทม.และจ.สระบุรีมามอบเป็นหลักฐานเนื่องจากเป็นร้านซึ่งเคยทำผิดกฎหมายเมื่อปี61พบยาเสพติดและมีเด็กเข้าใช้บริการถูกสั่งปิดตามคำสั่งคสช. กรณีแรกเมื่อวันที่1พ.ย.61 ชื่อร้านผับหลังเขา(Back Mountain) ตั้งอยู่ริมถนนสุวรรณศรสายหินกอง-นครนายกต.ห้วยทรายอ.หนองแคจ.สระบุรี

พบว่ามีนักเที่ยวอายุต่ำกว่า20 ปีเข้าไปใช้บริการ128 คนมีนักเที่ยวปัสสาวะเป็นสีม่วง 131คนนอกจากนี้ยังพบยาเสพติดและอุปกรณ์เสพทั้งไอซ์ยาอียาเคตามีนยาไฟว์เจ้าหน้าที่ตรวจยึดของกลางทั้งหมดประกอบด้วยยาอีและยาเคบรรจุซองพร้อมใช้83ห่อยาอีและยาไฟว์อีกจำนวนหนึ่งนำไปสู่การดำเนินคดีตามกฎหมายถึง 6 ข้อหา

1.ตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต2.จำหน่ายสุราเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด3.ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่ผู้มีอายุต่ำกว่า20 ปี4.จำหน่ายสุราให้กับเด็กอายุต่ำกว่า18 ปี5.ยุยงส่งเสริมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร6.ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย(จัดโปรโมชัน) และมีคำสั่งปิดร้านมีกำหนด5ปีตามคำสั่งหัวหน้าคสช..ที่22/2558 ,46/255

นายชูวิทย์ กล่าวว่าส่วนกรณีที่สองเมื่อวันที่26 ธ.ค.61 เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นสถานบันเทิง “ทูมอโรว์แลนด์” (Tomorrow Land Exclusive Club) ถ.ประเสริฐมนูกิจแขวงคลองกุ่มเขตบึงกุ่มกทม. พบนักเที่ยวชาย-หญิงกว่า 200 คนพบว่านักท่องเที่ยวปัสสาวะสีม่วง 22 คนและพบยาเสพติดภายในร้านจำนวนมากเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาตั้งสถานบริการโดยไม่รับอนุญาตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในเวลาห้ามขายและมีคำสั่งปิดร้าน 5 ปีฐานฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่22/2558 ,46/2559 แต่ล่าสุดร้านดังกล่าวได้เปิดทำการใหม่ในที่ตั้งเดิมภายใต้ชื่อร้าน“IBIZA International Club” 

ส่วนอีกร้านในจังหวัดสระบุรียังคงเปิดให้บริการเป็นปกติในสถานที่เดิมภายใต้ชื่อร้าน Virgin ซึ่งทั้งสองร้านมีการลงโฆษณาเชิญชวนจัดโปรโมชั่นทางสื่อสังคมออนไลน์อย่างโจ๋งครึ่มเครือข่ายฯ เกรงว่าจะมีร้านอีกจำนวนมากที่เคยถูกสั่งปิดไปและกลับมาเปิดใหม่เหมือนดังเช่นทั้งสองร้านเป็นการทำลายเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างร้ายแรงซึ่งในประเทศนี้ไม่ควรมีใครอยู่เหนือกฎหมายกว่าจะได้มาซึ่งกฎหมายควบคุมร้านเหล้าผับบาร์รอบสถานศึกษามีการผลักดันมากว่า8 ปีจึงมาได้เป็นกฎหมายในรัฐบาลที่แล้วรัฐบาลนี้ก็ไม่ควรปล่อยปละละเลยในเรื่องนี้ 

ด้านนายธีรภัทร์ กล่าวว่าเครือข่ายฯขอแสดงจุดยืนและข้อเสนอต่อรมว.ยุติธรรมดังนี้1. ประสานงานกองบัญชาการตำรวจนครบาลและการปกครอง(กรณีต่างจังหวัด) ติดตามความคืบหน้าคำสั่งปิดสถานบริการของร้านที่เคยถูกจับกุมประสานงานกรมสรรพสามิตกรณีใบอนุญาตจำหน่ายสุราเป็นต้น 

2.เร่งตรวจสอบและดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับสถานบริการหรือสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการที่เคยถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินการจับกุมดำเนินคดีมีคำสั่งปิดกิจการแต่มีพฤติกรรมกลับมาเปิดใหม่ในพื้นที่เดิมซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและขัดต่อหลักความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนอย่างร้ายแรง เนื่องด้วยร้านที่เคยถูกสั่งปิดล้วนแต่เป็นร้านที่กระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองมาทั้งสิ้น

3.ขอให้เร่งสร้างกลไกรับเรื่องร้องเรียนกลางและประชาสัมพันธ์กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสถานบริการและสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการและกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันการกระทำผิดกฎหมายของผู้ประกอบการตลอดจนสร้างความชัดเจนในการกำหนดขอบเขตพื้นที่โซนนิ่งสถานบริการหรือสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา 

4.เครือข่ายฯขอขอบคุณท่านและรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับปัญหาเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะการควบคุมร้านเหล้าผับบาร์รอบสถานศึกษาซึ่งตรงกับความห่วงใยร่วมกันของประชาชนสอดคล้องกับข้อมูลของศูนย์วิจัยปัญหาสุราที่สำรวจพบว่าร้อยละ94.3 เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าวและต้องรักษาไว้ร้อยละ87.2 เห็นว่าปัญหาสังคมมีแนวโน้มดีขึ้นจากนโยบายนี้และร้อยละ97 เห็นว่าชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังการทำผิดกฎหมายในพื้นที่ด้วย