เด็กปชป.หยาม ‘ธนาธร’ หุ่นเชิดทางความคิด ‘ปิยบุตร’

นายเชาว์ มีขวด ทนายอาสา อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เมื่อวันที่ 19 พ.ย 2562 ลงในเฟซบุ๊ก Chao Meekhuad โดยมีรายละเอียดดังนี้ ถอดบริบทการพิจารณาคดีถือหุ้นสื่อ ถอดหน้ากากนายธนาธรและบริวาร

พรุ่งนี้(วันที่ 20 พฤศจิกายน)ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำตัดสินคดีที่กกต.ยื่นคำร้องให้วินิจฉัยกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถือหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย ที่ประกอบกิจการสื่อ เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิรับสมัครเลือกตั้งจนเป็นเหตุให้สถานภาพความเป็นส.ส.สิ้นสุดลงหรือไม่ เมื่อคืนเลยนั่งดูเทปย้อนหลังการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2562 อีกครั้ง คดีนี้เป็นที่สนใจของคนทั้งประเทศเชื่อว่าทุกคนที่ติดตามคงจะมองออกว่าคำชี้แจงของนายธนาธรมีน้ำหนักเชื่อถือหรือไม่เพียงใด ผมจะไม่ลงในรายละเอียด

ต้องขอขอบคุณศาลรัฐธรรมนูญที่ถ่ายทอดสดการพิจารณาให้พี่น้องประชาชนได้เห็นบรรยากาศสดๆ ทำให้หลายคนได้รู้จักตัวตนของนายธนาธรมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าเรื่องการคำให้การในทำนองไม่รู้ ไม่ทราบ จำไม่ได้แทบทุกเรื่องแม้จะเป็นเรื่องพื้นฐานใกล้ตัวซึ่งขัดต่อหลักแห่งความเป็นจริง การแสดงพฤติกรรมให้เห็นถึงวุฒิภาวะทางอารมณ์เมื่ออยู่ในสถานการณ์คับขันพูดจาต่อรองแลกเปลี่ยนข้อเสนอต่อศาล ทำนองว่าถ้าศาลตัดสินเป็นคุณกับตนออกไปจะทำเรื่องบลายทรัสต์ตามที่สัญญาไว้กับประชาชนถึงขั้นโยนความผิดใส่นายทักษิณซึ่งในอดีตนายธนาธรไม่เคยให้ร้ายแม้แต่น้อย ยังไม่รวมถึงการแสดงกริยามารยาทที่ไม่สมควร เช่นนั่งไขว่ห้างขณะให้การต่อศาล การใช้วาจาหรือถ้อยคำพูดที่ไม่ยำเกรงต่อศาลเถียงทุกประโยคเมื่อไม่พอใจ เหมือนเด็กที่ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจเมื่อมีอะไรขัดใจก็จะแสดงอาการกราดเกรี้ยวให้เห็นทันที ซึ่งศาลท่านก็อลุ้มอล่วยปล่อยให้นายธนาธรทำตามใจชอบ ถึงแม้จะเป็นวิธีการที่ผิดๆแต่นับว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมที่ได้เห็นตัวตนอีกมุมหนึ่งของนายธนาธรได้ชัดยิ่งขึ้น

นอกจากนี้เรายังได้เห็นปรากฏการประหลาดๆของบรรดากองเชียร์บริวารนายธราธรที่เข้าไปฟังการถ่ายทอดสดบริเวณศาลแสดงอาการปรบมือส่งเสียงโห่ร้องเหมือนกับกำลังเชียร์การแข่งขันอะไรสักอย่างซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรถือเป็นการประพฤติตนไม่เหมาะสมอันเป็นการละเมิดอำนาจศาลเพราะการพิจารณาคดีของศาลว่ากันด้วยเหตุผลไม่ใช่เอามันเหมือนการเชียร์กีฬา พฤติกรรมดังกล่าวจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าวันพรุ่งนี้หากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญออกมาไม่ถูกใจฝ่ายตนเองบรรดากองเชียร์อาจจะออกมาโจมตีใส่ร้ายป้ายสีศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งโดยขาดหลักและเหตุผล จึงอยากให้ถอดบทเรียนกรณีของนางสาวสฤนี อาชวานันทกุล นักวิชาการที่เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์เรื่อง “อันตรายภาวะนิติศาสตร์ล้นเกิน (อีกที) กรณีหุ้นสื่อของผู้สมัครส.ส. ซึ่งบางตอนมีการใช้ถ้อยคำไม่เป็นความจริงและกล่าวหาศาล จนมีการยื่นเรื่องให้ศาลไต่สวน สุดท้ายนางสาวนฤนี แถลงยอมรับความผิดและขอโทษต่อศาลฎีกาหรือกรณีของนายโกวิท วงศ์สุรวัฒน์พ่อจอห์นวิญญู ที่ทวีตข้อความว่า “ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง 32 ส.ส.ปมหุ้นสื่อแต่ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่น่าจะเกินคำว่า “ด้าน” เสียแล้ว” จนถูกศาลรัฐธรรมนูญเรียกไปชี้แจงและต้องขอโทษต่อศาลซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็เมตตาไม่ลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล

เพราะฉะนั้นการวิจารณ์เอามันโดยขาดข้อเท็จจริงและปราศจากเหตุผลนั้นไม่ได้เป็นผลดีต่อใครทั้งสิ้น รังแต่จะสร้างรอยแตกร้าวและเป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจตุลาการอีกด้วย ซึ่งสุดท้ายผู้กระทำก็ต้องรับผิดชอบต่อผลการกระทำของตัวเอง จึงขอให้ทุกคนเคารพกติกาของบ้านเมืองเพราะถ้าไม่เคารพคำตัดสินของศาลบ้านเมืองก็จะมีแต่ความวุ่นวาย

การเคารพคำตัดสินของศาลไม่ใช่การ”อยู่เป็น”หรือ”อยู่ไม่เป็น”แต่เป็นการ”อยู่เป็นที่”ตามกติกาสังคม จึงอยากให้บรรดากองเชียร์ของนายธนาธรตั้งสติให้ดี ส่วนนายธนาธรผมคิดว่านายธนาธรได้แสดงธาตุแท้ถอดหน้ากากให้สังคมเห็นตัวตนที่แท้จริงแล้วว่านายธนาธรไม่ได้เพียบพร้อมดั่งที่พยายามสร้างภาพ การไม่พูดความจริงของนายธนาธรถือเป็นความบกพร่องทางจริยธรรมของผู้ที่จะมาเป็นนักการเมืองที่ดีซึ่งต้องยึดสัจจะวาจาเป็นสำคัญ การใช้วาจาหรือถ้อยคำพูดเยาะเย้ยถางถางไม่ยำเกรงต่อศาลเถียงทุกประโยคเมื่อไม่พอใจ ประเภทเอามันเข้าว่า โดยขาดสาระและเหตุผล การต่อรองแลกเปลี่ยนข้อเสนอต่อศาลและการโยนขี้ใส่นายทักษิณเพื่อเอาตัวรอดแสดงใ้ห้เห็นว่าเขาไม่มีไหวพริบปฏิภาณในการตอบคำถามเมื่ออยู่นอกบท จึงสอดคล้องกับที่สังคมตั้งคำถามมาโดยตลอดว่านายธนาธรเป็นเพียงหุ่นเชิดชุดความคิดทางการเมืองของนายปิยบุตรใช่หรือไม่ แล้วเราจะให้บุคคลเช่นนี้นำพาชาติบ้านเมืองได้อย่างไร.