‘บิ๊กเนมฝ่ายปชต.’ ชี้ตรงกันพรรคเพื่อไทย เข้าสู่ยุคเสื่อมถอย หลังพ่ายเลือกตั้งซ่อมส.ส.

จากกรณีพรรคเพื่อไทย แพ้เลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 7 ขอนแก่น ล่าสุดมีความจากนักวิชการ นักเคลื่อนไหวฝ่ายประชาธิปไตยต่อกรณีดังกล่าวอย่างน่าสนใจ อาทิ รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ นักวิชาการฝ่ายประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก โดยมีรายละเอียดดังนี้

ประชานิยมพปชร. vs ประชานิยมทักษิณ

เคยเขียนไว้แล้วเมื่อต้นปีว่า เลือกตั้ง มี.ค.62 เพื่อไทยสูญเสียพื้นที่สำคัญบางส่วนในภาคเหนือและอีสานให้กับพปชร.เพราะอิทธิฤทธิ์ “บัตรคนจน” และประชานิยมที่เคยเป็นจุดแข็งของทักษิณ-เพื่อไทย ได้กลายเป็นจุดแข็งของพปชร.แทน

ผลเลือกตั้งซ่อมขอนแก่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่เพื่อไทยทำพลาด หรือ “ถูกโกง” แต่เป็นผลจากยุทธศาสตร์ที่พปชร.มุ่งมั่นเข้าแทนที่ฐานประชานิยมของเพื่อไทยในภาคเหนือ-อีสานอย่างเป็นระบบ

เลือกตั้ง มี.ค.62 ทำให้ฝ่ายนั้นรู้ว่า “บัตรคนจน” ใช้ได้ผล รัฐบาลพปชร.จึงได้ตั้งหน้าลุยโครงการแจกเงินสารพัดติด ๆ กันตลอดปี 62 “ชิม ช็อบ ใช้” เฟส 1-2-3 ลดแลกแจกฟรีถี่ ๆ ไม่หยุด

ยิ่งภาวะเศรษฐกิจเลวร้ายเท่าใด นโยบายบัตรคนจน+แจกเงินฟรีสารพัด ก็ยิ่งได้ผล!

ความเสื่อมถอยของทักษิณ-เพื่อไทย ที่เป็นไปอย่างช้า ๆ ตั้งแต่ชนะเลือกตั้งปี 54 ปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้จากแกนนำนปช.ท้องถิ่น หัวคะแนนพท. มวลชนเสื้อแดง ที่ทยอยกันย้ายค่ายไปฝั่งตรงข้าม พื้นที่เลือกตั้งโดนยึดไปทีละเขต ๆ

ปัญหาเฉพาะหน้าคือ พลังประชาธิปไตยที่จะมาสืบทอดการต่อสู้ต่อไปนั้น จะฟันฝ่าอุปสรรคและเติบโตขึ้นมาทันเวลาหรือไม่?

ขณะที่นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำเคลื่อนไหวกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย โพสต์เช่นเดียวกันว่า

ความเสื่อมถอยและจุดจบพรรคเพื่อไทย

(22.12.62) การเลือกตั้งซ่อมขอนแก่นพรรคเพื่อไทยแพ้พรรคพลังประชารัฐ ยับเยิน การอ้างเหตุว่า มีการใช้เงินซื้อเสียง(แต่จับไม่ได้สักที) เป็นเหตุผลเก่า แค่ปลอบใจกันเอง

ความพ่ายแพ้สะท้อนได้หลายแง่มุมด้วยกันทั้งตัวบุคคล การลงพื้นที่หาเสียง ยุทธวิธีหาเสียง นโยบายการหาเสียง ภาวะผู้นำภายในพรรค และบทบาทของพรรค

พรรคเพื่อไทยกำลังเสื่อมถอยด้วยเหตุที่มีแต่นักเลือกตั้ง และนักการเมืองที่ไร้ศักยภาพ ขาดความมุ่งมั่นจริงจังในการต่อสู้ทางการเมือง เหินห่างจากชาวบ้านและทำได้แค่สร้างภาพฉาบฉวย อาศัยบุญเก่าที่สะสมกันมาแต่ทว่าไร้มนต์ขลังไปแล้ว ไม่มีสิ่งที่ดีกว่าและเหนือกว่าเดิม

หากพรรคเพื่อไทยยังอาศัยแค่บุญเก่า ห่างเหินจากชาวบ้าน ขาดความมุ่งมั่นจริงจังและขาดความกล้าหาญทางการเมือง ไม่ได้ต่อสู้เป็นปากเสียงแทนความเดือดร้อนของชาวบ้าน ฯลฯ ก็ต้องพบกับความเสื่อมถอยในที่สุด”