ขณะนี้สังคมออนไลน์ให้ความสนใจไปที่โพสต์ เรื่อง”ประชาธิปไตยไม่เดียงสา” ของผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก “มนนิเทศ” ซึ่งโพสต์ไว้ตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการชุมนุมของนักเรียนนิสิตนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ นับตั้งแต่ศาลรัฐธรรมณูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่
โดยโพสต์ดังกล่าวมีเนื้อหาสาระน่าสนใจดังต่อไปไปนี้
ประชาธิปไตยไม่เดียงสา
คือหลังๆผมไม่ค่อยอยากโพสอะไรที่มันเกี่ยวกับการเมืองเลยจริงๆ เข้าเฟสบุคยังไม่อยากเข้าซะด้วยซ้ำ แต่สองสามวันมานี่เพื่อนฝูงหลายคนมักจะถามไถ่ว่าคิดเห็นยังไงกับ การแสดงออกของเหล่านักเรียนนักศึกษาที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ ผมบอกไปว่า ก็ไม่เห็นจะยังไงเลยปกติธรรมดาอย่างน้อยเด็กเหล่านี้ก็คือ คนที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ต่อไปในในอนาคต การมีจิตสำนึกทางการเมืองตั้งแต่อายุยังไม่เยอะ ก็พอจะคาดหวังได้ว่าบ้านเมืองเราก็คงจะพอไปได้ ถ้ามีแต่เด็กที่ไม่ใส่ใจอะไรเลย วันๆเอาแต่คลั่งดารานักร้อง หมกมุ่นแค่เรื่องส่วนตัว แบบนั้นล่ะน่าเป็นห่วงกว่าว่ามั้ย?
ดังนั้นไม่ต้องไปปิดกั้น ไม่ต้องไปขัดขวาง ปล่อยให้เขาได้แสดงออก เพราะนี่คือเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย อันเป็นสิทธิที่รองรับไว้ในรัฐธรรมนูญ ตราบใดที่ยังไม่มีการล้ำเส้นของกฎหมาย จะแฮชแถกแฮชแถประดิษฐ์คิดคำโก้เก๋ เพื่อให้มันฮ็อตฮิตติดเทรนด์อะไรก็ทำไป แม้ผู้ใหญ่หลายคนจะรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเด็กๆเหล่านี้กำลังทำอยู่มันช่างเป็น “ประชาธิปไตยไม่เดียงสา” ก็ตาม
ความหมายของคำว่าเดียงสาคือ รู้ผิดชอบตามปกติสามัญไม่เดียงสาก็คือ ยังไม่รู้ผิดชอบนั่นแหละ เอาแบบภาษาวัยรุ่นซักหน่อยก็น่าจะใกล้เคียงกับคำว่า หน่อมแน้ม นั่นเอง เด็กไร้เดียงสาก็คือ เด็กที่ยังไม่รู้ผิดชอบตามปกติ เวลาทำอะไรที่ผิดหรือพลาดไป ผู้ใหญ่ก็มักจะไม่ถือโทษเพราะเดียงสาที่ยังไม่มี ถ้าใช้คำนี้กับเด็กมันก็ออกจะฟังดูน่ารักอยู่ แต่ถ้าใช้คำนี้กับผู้ใหญ่ว่ายังไม่เดียงสานี่มันจะกลายเป็นการดูแคลนไปเลย ดังนั้นน้องๆหนูๆก็อย่าให้ถูกดูแคลนได้ว่า สิ่งที่กำลังทำกันอยู่นี่น่ะมันเป็น ประชาธิปไตยไม่เดียงสา
เดียงสาหรือไม่เดียงสาเป็นยังไง เริ่มต้นด้วยการตอบคำถามสามข้อนี้ก่อน
1.ตอบตัวเองว่าสิ่งที่เราทำนั้นเราทำด้วยเหตุผลอะไร ตอบด้วยเหตุผลนะครับไม่ใช่ความรู้สึก ถ้าตอบด้วยเหตุผลไม่ได้นั่นคือ ไม่เดียงสา
2.ถามหรือเปิดใจรับฟังเหตุผลของคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรา แล้วตรึกตรองชั่งน้ำหนักกับเหตุผลของเรา ถ้าไม่คิดที่จะเปิดใจรับฟังเหตุผลที่ต่างตัวเองได้ นั่นคือไม่เดียงสา
3.ตอบตัวเองว่าเราต้องการอะไรจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ แล้วมันเป็นไปได้จริงหรือไม่ ถ้าตอบไม่ได้นั่นคือ ไม่เดียงสา
เอาล่ะถ้าตอบได้นั่นคือ คุณเลือกแล้วที่จะทำตามสิ่งที่คุณคิด ต่อไปเป็นข้อคิดเห็นจากคนที่เคยผ่านประสบการณ์แบบเดียวกับที่คุณกำลังทำอยู่
1.บอกพ่อแม่ถึงการตัดสินใจตัวเอง ผมบอกพวกคุณเลยนะครับว่า ถึงที่สุดแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณ คนที่จะช่วยคุณและอยู่ข้างคุณอย่างแท้จริงคือพ่อแม่เท่านั้น ถ้าไม่กล้าแม้กระทั่งบอกพ่อแม่น่ะ นั่นคือยังไม่เดียงสา
2.ถ้าคุณกำลังเชื่อว่าสิ่งที่พวกคุณกำลังทำน่ะมันคือพลังบริสุทธิ์จริงๆ คุณจะต้องไม่ยอมให้มีนักการเมือง(และรวมถึงอดีตนักการเมือง) เข้ามาเกี่ยวข้อง ผมกล้าบอกเลยด้วยว่าหลัง14 ต.ค.16 ทุกม็อบล้วนแล้วแต่เป็นม็อบการเมืองทั้งสิ้น ทันทีที่มีนักการเมืองคุณต้องไล่มันออกไปแต่ถ้าคุณยอมรับมัน คุณย่อมไม่อาจปฏิเสธคนที่เขาไม่เห็นด้วยกับพวกคุณว่า มันไม่ใช่พลังบริสุทธิ์แล้ว ถ้าคุณยังไม่คิดแบบนั้น นั่นคือยังไม่เดียงสา
3.ถ้าคุณชุมนุมอยู่ในที่ตั้งคุณยังมีสิทธิอันชอบธรรม แต่ทันทีที่คุณออกสู่สาธารณะคุณจะต้องทำตามพรบ.ชุมนุมในที่สาธารณะ(ซึ่งเป็นกฎหมายที่เมื่อก่อนไม่มี) กฎหมายฉบับนี้ไม่เกี่ยวกับเผด็จการไม่เผด็จการ เพราะหลายประเทศมีกฎหมายลักษณะนี้เหมือนกัน(แม้แต่สหรัฐอเมริกา ที่หลายคนชื่นชมว่าสุดยอดประชาธิปไตยก็ด้วย) ถ้าคุณยังไม่รู้นั่นคือยังไม่เดียงสา
4.การแสดงความคิดเห็นแสดงความรู้สึก ด่าลุง ด่านักการเมืองสามารถทำได้ แต่ถ้าคุณดูถูกดูหมิ่นศาลหรือกระบวนการยุติธรรม (ที่ไม่ใช่เป็นการวิพากษ์ด้วยความสุจริต) คุณกำลังเอาตัวเองไปสู่ความสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย ซึ่งกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองศาลและกระบวนการยุติธรรมนั้นเป็นหลักสากลของทุกประเทศในโลก จะเซลฟงเซลฟี่
ทวีตทแวตอะไรก็ทำไป แต่ถ้ามันบิดเบือนหรือใส่ร้าย หมิ่นประมาทผู้อื่น ก็ให้ศึกษาพรบ.คอมพิวเตอร์ให้ดีๆ การใช้เสรีภาพจะต้องไม่เป็นการไปละเมิดผู้อื่นด้วย ถ้าคุณไม่ทราบแสดงว่าไม่เดียงสา และถ้าถูกดำเนินคดีก็อย่าอ้างว่าถูกรังแกกลั่นแกล้ง หรือทำไปด้วยความไร้เดียงสาล่ะ
5.เมื่อพวกคุณมีม็อบต้านได้มันก็มีม็อบหนุนได้ข้อนี้คุณต้องทำใจยอมรับ เมื่อคุณด่านักการเมืองหรือคนที่คุณเกลียดได้ คุณก็ต้องยอมรับคนที่ด่าบุคคลที่พวกคุณชื่นชอบได้เช่นกัน และถ้าคุณแยกไม่ออกระหว่างตัวคุณกับคนที่คุณชื่นชอบ นั่นคือคุณไม่เดียงสา
6.ประเด็นอ่อนไหวที่สุดคือ ประเด็นสถาบัน พึงหลีกเลี่ยงและอย่าให้ปรากฏ คุณอาจไม่รักไม่ศรัทธา แต่คุณก็ไม่มีสิทธิที่จะไปเหยียบย่ำหรือสร้างความไม่สบายใจต่อความศรัทธาของคนอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ถ้าทำไม่ได้นั่นคือคุณไม่เดียงสา
7.ถ้าเริ่มต้นด้วยการแบ่งแยกเช่น เราไม่ใช่สลิ่ม หรืออะไรทำนองนี้ มันสะท้อนการตกเป็นเหยื่อวาทกรรม แค่นี้คุณก็แพ้แล้ว เพราะคุณกำลังทำให้คนที่ไม่เข้าร่วมกับคุณกลายเป็นคนอื่น ถ้าเป็นประชาธิปไตยแล้วยังแบ่งแยกกันเป็นพวกเราพวกเขา คิดได้แค่นี้คือคุณไม่เดียงสา
8.ทันทีที่การชุมนุมสู่ท้องถนน คุณต้องเตรียมใจที่จะพบกับอะไรก็ได้ที่มันพร้อมจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไอ้ประเภทเกรียนคีย์บอร์ด ร่างกายอยากปะทะแก๊สน้ำตาน่ะ ถ้าเจอของจริงจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องสนุกแต่อย่างใด แม้ผมจะค่อนข้างเชื่อว่ารัฐบาลนี้คงไม่ทำอะไรรุนแรง ประเภทชุมนุมไปเจอเอ็ม79 ไป เจอแก๊สน้ำตายิงใส่กันตรงๆบ้าง เจอระเบิดปาใส่บ้าง แบบที่รัฐบาลโคตรประชาธิปไตยเคยทำกับผู้ชุมนุมมาแล้วก็ตาม ถ้าคิดว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับตัวคุณแล้วหวังว่าจะมีใครมารับผิดชอบ นั่นคือคุณไม่เดียงสา
9.ขอรูปธรรมข้อเรียกร้องที่พวกคุณต้องการหน่อยเถอะว่าคืออะไร ทางเลือกตามระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี่น่ะมันมีทางเลือกคือ 1.ลุงตู่ลาออก สภาก็เลือกนายกกันใหม่ ถ้าเป็นสส.ก็เช่น อนุทิน จุรินทร์ หรือมงคลกิตติ์ รับได้รึเปล่าล่ะ หรือเอานายกคนนอกแล้วจะคือใครดี ซึ่งถ้าเอาแบบนี้มันก็ไม่เป็นประชาธิปไตยแบบที่ท่องๆกันด้วยสิ2.ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ทั้งๆที่เพิ่งเลือกกันไปไม่ถึงปี เสียเงินกันอีกหลายพันล้าน เอาก็เอาเพื่อประชาธิปไตย แต่อย่าลืมนะมันก็เป็นการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ กติกาเลือกตั้งก็แบบเดิม เพราะกฎหมายมันยังไม่ถูกแก้ เชื่อไหมล่ะครับว่าผลไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่หรอก แล้วสุดท้ายสภาก็เลือกลุงตู่อีก ยอมรับกันได้มั้ยล่ะ พรรคที่ถูกยุบไปก็ไม่ใช่จะฟื้นคืนชีพกลับมาได้ ตั้งพรรคใหม่แล้วถ้าเกิดนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิไปมายุ่มย่ามวุ่นวาย เดี๋ยวก็มีคนร้องแล้วก็ถูกยุบอีกเพราะผิดกฎหมาย จากนั้นก็มีม็อบไม่พอใจ วนกลับมาที่เดิม สองวิธีนี้คือว่ากันตามระบบเลยนะ 3.จลาจลนองเลือด รัฐบาลอยู่ไม่ได้ลาออก ตั้งนายกรักษาการจากนั้นยุบสภา จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกอีกแล้วเหรอ ตั้งแต่ที่มีประชาธิปไตยในประเทศนี้เนี่ย สังเวยชีวิตกันไปแล้วเท่าไหร่ แล้วท้ายสุดประชาชนเคยได้จริงมั้ย 4.หรือจะเอาแบบนอกระบบก็คือยึดอำนาจล้มรัฐธรรมนูญร่างกันใหม่ แล้วใครล่ะจะเป็นคนทำ ก็ต้องทหารนั่นแหละที่ทำได้ มันก็วนลูปกันอยู่อย่างเงี้ย ดังนั้นน้องๆหนูๆช่วยตอบลุงทีเถอะ ถ้าตอบไม่ได้คือไม่เดียงสา
10.ข้อนี้แถม ตอนอยู่ในม็อบก็คอยสังเกตให้ดีนะ ถ้าเมื่อไหร่ที่เห็นว่ามีmen in black โผล่มาในม็อบ ข้อแนะนำคือรีบเผ่นซะ ถ้าไม่เชื่อ ท้ายสุดคุณอาจกลายเป็นศพแบบไม่เดียงสา
ในฐานะที่ทุกวันนี้ทำงานกับเด็กและเยาวชนทำให้พอจะเข้าใจพวกเขาอยู่บ้าง ผมเลยไม่คิดจะไปโกรธหรือเกลียดอะไรในสิ่งที่พวกเขากำลังทำ นักการเมืองที่ต้องการแสวงหาอำนาจกับบรรดาพวกที่อ้างตัวเองว่าคือนักวิชาการบางตัว ที่หวังแค่การตอบสนองความใคร่ทางความคิดความเชื่อของตน โดยใช้ความไม่เดียงสาของเด็กเป็นเครื่องมือ พวกนี้ต่างหากที่ผมชิงชัง.