ท่ามกลางวิกฤติไวรัสโควิด ‘นคร’ จี้รัฐบาลบอกความจริง เรื่องงบประมาณ งบกลาง และสถานะเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ

นายนคร มาฉิม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2563 โดยมีรายละเอียดดังนี้

รัฐบาล ต้องบอกความจริงกับประชาชน เรื่องงบประมาณ งบกลาง และสถานะเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ

ท่ามกลางความโกลาหล ตื่นตระหนกของประชาชนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา โควิด 19 รัฐบาลนี้ทำได้แค่เพียงประกาศใช้ พรก. ฉุกเฉิน พร้อมกฏหมาย พ่วง 40 ฉบับมารวมอยู่ในตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คนเดียวโดยอ้างว่าเพื่อความมีเอกภาพ แต่สุดท้ายการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ก็ไม่หยุดยั้งเพราะกฎหมาย ใช้สำหรับคน เชื้อโรคไม่รับรู้กฎหมาย แต่อย่างไรเสียทุกคน ทุกฝ่ายก็เอาใจช่วยจนกว่าประเทศไทยของเราจะผ่านพ้นวิกฤตินี้

ในขณะที่ทุกฝ่ายกำลังทุ่มเทสรรพกำลังต่อสู้กับไวรัส รัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์ก็ได้แถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลว่า เงินงบประมาณปี 2563 ไม่เพียงพอ อาจต้องกู้เงินมาใช้จ่ายเพื่อต่อสู้กับไวรัส อีก หลายๆคนฟังแล้วตกใจ ยิ่งฟัง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ว่าอาจจำเป็นต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ทุกคนขวัญผวาว่าประเทศไทยของเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ประเทศของเราวิกฤตแล้วหรือ

ในฐานะที่เคยเป็นคณะกรรมาธิการงบประมาณ และได้ร่วมพิจารณาให้ความเห็นชอบ พรบ. งบประมาณมา 13 ปีเห็นว่า

งบประมาณแผ่นดินนั้นมีหลายแบบ เช่น งบประมาณปกติ งบประมาณแบบสมดุล งบประมาณแบบขาดดุล งบประมาณกลางปี งบประมาณเงินกู้ งบลับ และงบที่ใช้จ่ายผ่านรัฐวิสาหกิจต่างๆอีก 56 รัฐวิสาหกิจ เป็นต้น

น่ากังวลใจมากที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 6 ปีตั้งแต่พลเอกประยุทธ์กับคณะ คสช. ยึดอำนาจและสืบทอดอำนาจมาถึงทุกวันนี้รัฐบาลไม่เคยมีการใช้นโยบายงบประมาณแบบสมดุล หรือ เกินดุล เลย มีแต่ใช้นโยบายงบประมาณแบบขาดดุล คือกู้อย่างเดียว ปีละประมาณ 4-5 แสนล้านบาททุกปี รวม 6 ปีงบประมาณรัฐบาลประยุทธ์กู้ไปแล้ว 3 ล้านล้านบาท รวมใช้เงินจากงบปกติ 18 ล้านล้าน

ในขณะเดียวกันภาระหนี้สินของประเทศไทยทะยานขึ้น 7 ล้านล้าน แต่การสร้างเงินสร้างงานกับไม่เกิด คนตกงาน หนี้สินภาคครัวเรือนพุ่งสูงสุด จน ธนาคารโลก THE WORLD BANK ระบุให้ ไทยมีความเสี่ยงสูง เปราะบาง อัตราความยากจนสูงขึ้น เป็นพิเศษ

โฟกัสไปที่งบประมาณงบกลางปี 63 ตั้งไว้ในมาตรา 6 จำนวน 518,770,918,000 บาท
(1)ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ 1 พันล้านบาท
(2) ค่าใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน 3 พันล้านบาท
(3) ค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 2,500 ล้านบาท
(4) ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐ 71,200 ล้านบาท
(5) เงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้าง 500 ล้านบาท
(6) เงินช่วยเหลือข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐ4,940 ล้านบาท
(7) เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ 265,716 ล้านเศษ
(8) เงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับปรุงวุฒิข้าราชการ 10,464 ล้านบาทเศษ
(9) เงินสมทบของลูกจ้างปนะจำ670 ล้านบาท
(10) เงินสำรอง เงินสมทบ และเงินชดเชยข้าราชการ 62,780 ล้านบาท
(11) เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 96,000 ล้านบาท

ซึ่งน่าสังเกตว่า การจัดสรรงบประมาณส่วนใหญ่เพื่อข้าราชการทั้งสิ้น ไม่ได้พูดถึงประชาชนเลย อันสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยของเราปัจจุบันเป็นรัฐราชการ เป็นรัฐทหาร อย่างสมบูรณ์แบบแล้วจริงๆ ประชาชนเป็นข้าทาส บริวารตลอดไปแล้ว ในยุคทหารครองเมืองและใช้เงินมือเติบเพียงเดือนกว่าๆ งบกลางก็เกือบหมด ไม่มีงบประมาณมาใช้จ่ายกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาโควิด 19

การที่รัฐบาลจะกู้เงินจาก IMF

การที่ธนาคารโลกชี้ให้เห็นปัญหาว่าไทยมีความเสี่ยงสูง และคนส่วนใหญ่ยากจนลง

รัฐบาลจะต้องชี้แจงเรื่องนี้อย่างชัดเจน ต้องบอกความจริงกับประชาชนเรื่องงบประมาณงบกลางและ สถานการณ์ทางการเงินการคลังของประเทศให้คนไทยได้ทราบ และเป็นสิทธิของคนไทยที่จะได้รับรู้ก่อนที่ประเทศของเราจะล้มละลายหรือหายนะจากการบริหารประเทศของรัฐบาลนี้