‘จตุพร’ ประชดเจ็บ! หากการใช้ AI จนกระทั่งเชื่อ AI จะมีรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ไว้ทำไม

เมื่อ 19 เม.ย. 2563 ที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการลมหายใจ พีซทีวี เวทีทัศน์ ว่า ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีแถลงการณ์จะทำจดหมายเปิดผนึกถึงเจ้าสัวลำดับที่ 1 ถึง 20 ของประเทศไทย จนกระทั่งมีแฮชแท็กติดในทวิตเตอร์ ว่ารัฐบาลขอทาน ซึ่งตนไม่เชื่อ แต่จะอธิบายว่า เกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ มาตรการที่สร้างความตระหนกจนกระทั่งประชาชนเกิดความยากลำบาก บรรยากาศของประเทศไทยเหมือนอยู่ในสภาพของสงคราม เกิดภัยพิบัติอย่างรุนแรง

ตนพยายามคิดว่าในชั่วชีวิตนี้จะไม่ได้เจอประชาชนคนไทยต้องไปต่อแถวเพื่อรับเงิน รับของบริจาค ข้าวสารอาหารกล่อง ซึ่งไม่คาดคิดมาก่อน สภาพการณ์ของประเทศไทยเราเดินมาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร ทั้งที่งบประมาณแผ่นดินเฉพาะปี 2563 นั้น มีมูลค่าทั้งสิ้น 3.2 ล้านล้านบาท เมื่อนับรวมกับที่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 กว่า 6 ปี ใช้งบประมาณ คิดเป็นตัวเลขกลมๆเกินกว่า 15 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่า 20 เจ้าสัวรวมกันยังไม่ถึงครึ่ง

“แต่สิ่งที่สำคัญคือ ภาพปรากฏของรัฐบาลที่อยู่ท่ามกลางความไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งผมก็เชื่อว่าถ้อยคำที่ นายกรัฐมนตรีออกแถลงการณ์นั้นไม่มีข้อความใด ที่ไปขอสตางค์จากบรรดาเจ้าสัว แต่ภาพมันฟ้อง ว่าบริหารจัดการจนประชาชนอดอยากเข้าแถวรับของบริจาคแทบจะเหยียบกันตาย โดยไม่คำนึงถึงมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม เพราะคนกลัวตายมากกว่ากลัว โควิด-19 ตอนเเรกคนก็กลัว แต่ตอนนี้กลัวจนกล้า มีการฆ่าตัวตายไม่เว้นแต่ละวัน”

ขณะเดียวกันประสิทธิภาพของผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการแจกเงินเยียวยา ที่ผ่านมาตนก็เคยอธิบายไว้ว่า ความไม่อยู่กับร่องกับรอยนั้นตนต้องบอกกับพล.อ.ประยุทธ์ ว่าให้ไปถามพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนไม่แปลกใจ ที่พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า มีเงินเยียวยาแค่เดือนเดียวเท่านั้น ต่อมาก็แก้ข่าวว่า แจกได้ 3 เดือน พล.อ.ชวลิต ก็เจอการปิดบังข้อมูลของทีมเศรษฐกิจ ที่หลอกให้ นายกรัฐมนตรี ไปแถลงแล้วตัวเองก็ไปทำอีกอย่าง

“ผมอยากถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่าในขณะนั้นเอาข้อมูลที่ไหนมาแถลงข่าวว่ามีเงินเยียวยาเพียงเดือนเดียว จนกระทั่งต้องไปตราพระราชกำหนดกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท แต่ทุกมาตรการเป็นไปด้วยความล่าช้า ตอนกู้เงินเร็วเสมือนกับกระต่าย แต่พอเยียวยาช้ากว่าเต่าขาขาด”

นายจตุพร กล่าวว่า ขอให้พอเสียทีกับการออกมาพูดแบบไม่รับผิดชอบ โดยเฉพาะการใช้ เอไอ คัดกรองประชาชนกว่า 27 ล้านคน ปรากฏว่าเห็นหน้าคนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรกับนักศึกษาแทบทั้งหมด ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปเยียวยาคนที่เป็นเกษตรกร เมื่อคนที่ไม่ได้เป็น เกษตรกรจริง แต่เอไอ บอกว่าเป็นเกษตรกร คนเหล่านี้จะโดนข้อหาแจ้งความเท็จหรือไม่ หรือเอไอ เฟคนิวส์ นี่เป็นความเหลวแหลก

หากเป็นในทางการเมืองคนก็มองว่ารัฐบาลเอาข้อมูล 27 ล้านคนนี้ไปใช้ในทางการเมืองหรือไม่แต่ตนนั้นมองโลกในแง่ดีว่า หากการใช้ เอไอ จนกระทั่งเชื่อเอไอแล้ว เราจะมีรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ไว้ทำไม ใช้ เอไอ มาเป็นรัฐบาล มานั่งเป็นนายกรัฐมนตรี จะดีกว่าหรือไม่ เพราะปัญหาถึงที่สุดแล้วคือ คนอดอยาก

“แม้รัฐบาลจะบอกว่า มีมาตรการเยียวยาในเรื่องต่างๆ ผมก็อยากถามว่า ทันต่อความเดือดร้อนของประชาชนหรือไม่ นับตั้งแต่ประกาศมาตรการเยียวยาจนถึงบัดนี้ อ้างความทันสมัย แต่ล่าช้า และเต็มไปด้วยปัญหา แล้วยังมีมธุรสวาจาบอกว่า สามารถไปอุทธรณ์กับเอไอได้ รัฐบาลปล่อยให้ประเทศไทยมีสภาพอย่างนี้ได้อย่างไร”

รวมทั้งกล่าวว่า แทนที่จะไปลดภาระเรื่องค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะเรื่องค่าไฟ แต่ก็ปรากฏว่าค่าไฟเดือนนี้แพงแทบทุกบ้าน ซึ่งสภาพการณ์เช่นนี้กระทรวงพลังงาน ที่กำกับดูแลเรื่องค่าไฟทั้งหลายที่จะบอกว่าเยียวยาเพิ่ม แต่ปรากฎว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น คนลำบาก แต่ค่าไฟเพิ่ม

ดังนั้น เมื่อแสดงเจตนาว่าจะคุยกับบรรดาเจ้าสัวทั้ง 20 คน ซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่กลุ่มทุนประชารัฐอยู่แล้ว ได้ประโยชน์จากสัมปทานผูกขาด ได้ประโยชน์กับการเลือกมาตรการ มีอำนาจเหนือการตลาดจากการเปิดช่องว่างให้ ดังนั้น การที่ไปทำจดหมายเปิดผนึกถึงบรรดาเจ้าสัวนั้นสิ่งที่น่ากลัวกว่าการขอสตางค์ คือ ผลประโยชน์ทับซ้อน ประเทศไทยคนไทยจะต้องเสียอะไร เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล มีข่าวออกมาว่า จะเปิดให้บริการวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ ถามว่ารู้ได้อย่างไร

แต่หากเปิดห้างได้ก็ดีไม่มีปัญหา เพราะว่าคนติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ล่าสุดวันนี้เพิ่มขึ้น 32 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสม 2,765 ราย แต่มาตรการนี้ไปบังคับคนทั้ง 66 ล้านคน ทำให้ประกอบอาชีพไม่ได้ แล้วรัฐบาลบอกว่า จะเยียวยา หลอกไปหลอกมา เป็นอย่างนี้จนกระทั่งต้องมีผู้ใจบุญมาแจกของให้คนต่อแถวยาวเป็นกิโล สะท้อนว่า รัฐบาลไม่ได้ช่วยอะไรเลย มีเพียงแค่ลมปาก ไม่ต้องพูดว่า 3 เดือน เอาแค่ 1 เดือนทำให้ได้เสียก่อน เอาเฉพาะหน้าให้ประชาชนรอดเสียก่อน

นายจตุพร กล่าวว่า หากรัฐบาลชุดนี้พังเพราะเรื่องการแจกเงิน โลกต้องจดจำเพราะสุดท้ายแล้วยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ควรระดมความคิดเห็นจากคนทั้งชาติ ไม่ใช่มาตื่นเต้นการรับข้อเสนอและจาก 20 เจ้าสัว วันนี้ สิ่งสำคัญที่สุดในการบริหารประเทศ คือศักยภาพ ตามด้วยคำว่าประสิทธิภาพ และความโปร่งใส

เเม้ว่าวันนี้จะยึดอำนาจจากบรรดานักการเมืองส่วนใหญ่มาใช้ข้าราชการประจำ แต่ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ดังนั้น เมื่อไม่สามารถแก้ไขปัญหาความอดอยากได้ ในทางการแพทย์ก็สามารถควบคุมได้ ทุกคนในประเทศมีหน้ากากอนามัยใช้ หากรัฐบาล ยังไม่มีประสิทธิภาพ เรื่องการแจกเงินและปล่อยให้คนอดอยาก ก็ควรยกเลิก พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเสียให้ประเทศเดินต่อไป

นายจตุพร กล่าวทิ้งท้ายว่า วันนี้ประเทศไทยเราต่างฝ่ายต่างได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลและให้โอกาส ซึ่งตนก็เชื่อว่าจากนี้ไป ก็ถือว่าเป็นคำเตือนที่ไม่ได้มาจากตน ว่า หากประชาชนกลัวอดตายชนิดที่ทนกันไม่ได้ ไม่กลัวโควิด-19 กันอีกต่อไป และสภาพการเหมือนวันนั้นไม่มีใครกลัวใครกันอีกแล้ว

“มองว่าเรื่องเหล่านี้น่าเป็นห่วง เพราะรัฐบาลชุดนี้มีโอกาสมากที่สุด แต่กลับไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนั้นคือความทุกข์ของคนไทย”