บิ๊กฝ่ายประชาธิปไตย ค้านรัฐบาลเข้าเป็นภาคี CPTPP อย่าฉวยลักหลับประชาชนในช่วงวิกฤติโควิด

นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า กรณีที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กำลังพยายามผลักดันนำวาระการเสนอให้ไทยเข้าร่วมเป็นภาคี CPTPP พิจารณาในคณะรัฐมนตรีนั้น ถือเป็นการลักหลับประชาชนในสถานการณ์โควิด หลังจากก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ได้ถอนวาระพิจารณาเรื่องนี้ออกไปแล้ว

“รัฐบาลจะพิจารณาใน ครม. วันนี้หรือไม่หรือสัปดาห์ต่อไปก็ไม่สมควร เพราะยังไม่มีการประชามติและรับฟังความเห็นจากประชาชนอย่างรอบคอบก่อนพิจารณาในรัฐสภา รัฐบาลจะอ้างมติของคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) แต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ ก่อนหน้านี้การดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวกับพันธสัญญาระหว่างประเทศต้องผ่านกระบวนการรัฐสภาเห็นชอบ”

เลขาธิการ ครป. กล่าวต่อไปว่า การเข้าไปเป็นภาคี CPTPP จะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรของไทยที่จะถูกต่างชาติผูกขาดเมล็ดพันธุ์หลายชนิด เกษตรกรไทยจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทุนข้ามชาติ ในด้านการสาธารณสุขไทยจะต้องเสียงบประมาณการจัดซื้อยาราคาแพงขึ้น ทำให้หลังพิงของประเทศไทยซึ่งเป็นภาคเกษตรกรรม อาหารและยาสมุนไพรต่างๆ จะถูกทำลายลงในที่สุด

นอกจากนี้ ในการเจรจาการค้าเสรีของประเทศไทยในแต่ละครั้ง จะต้องเปิดพื้นที่ให้มีส่วนร่วมของประชาชน การประชามติหรือประชาพิจารณ์ในประเด็นต่างๆ ที่สังคมจะได้รับผลกระทบ ไม่ใช่เป็นความเห็นของรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจคนเดียวซึ่งทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยเสียหายวอดวายมาแล้ว

นายเมธา กล่าวว่า โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ที่โรคโควิดกำลังระบาด รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร จึงเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะดำเนินการเรื่องใดๆ ก็ตามที่มีผลผูกพันต่อประเทศไทยในระยะยาว จึงขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเลื่อนการพิจารณาวาระการเข้าร่วม CPTPP และเรื่องสืบเนื่องที่เกี่ยวข้องออกไปจนกว่าประเทศไทยจะกลับสู่สถานการณ์ปกติค่อว่ากันอีกที โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมและมีการพิจารณาอย่างรอบด้านเพื่อลดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม และมีการพิจารณาร่วมกันในรัฐสภา โดยเฉพาะนโยบายทางเศรษฐกิจที่มีผลผูกพันกับภาระหนี้สินของประเทศและมีพันธะสัญญาระหว่างประเทศ

“เรื่องนี้จะพิสูจน์ความจริงใจของรัฐบาลว่าจะแอบทำสัญญาลับหลังประชาชนในช่วงที่ประเทศไทยยากลำบากเช่นนี้หรือไม่ และผลประโยชน์ในการร่วม CPTPP เป็นของใครกันแน่?”