‘จตุพร’ เปิดปูมหลังครั้ง ‘สมคิด’ ร่วมทัพไทยรักไทยช่วงปลาย ก่อนถูกยึดอำนาจ แม้แต่ ‘ทักษิณ’ ยังตกใจ!

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวในรายการลมหายใจ พีซทีวี เวที วานนี้ ช่วงหนึ่งว่า หัวข้อที่จะสนทนาวันนี้สั้นๆ คือ ยาก เพราะสถานการณ์ของประเทศไทยทุกอย่างเป็นเรื่องยากทั้งสิ้น ไม่ว่าเรื่องที่ดูเหมือนจะง่ายดายแต่ทั้งหมดกลายเป็นเรื่องยากกับภายใต้สภาวการณ์ของประเทศไทยที่ชั่วชีวิตหนึ่งเราอาจจะพึ่งเคยเห็นกันครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์วิกฤตขณะนี้ตนเห็นว่า ทุกเรื่องไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามอยู่ในสถานการณ์ที่ยากทั้งสิ้น

การปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งตอนแรกใครก็คิดว่าง่าย สี่กุมารยังไงก็พ้นจากตำแหน่งผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐ แต่ลืมคิดไปว่ากลุ่มสี่กุมารนั้น บวกหนึ่งสมคิดก็มีประสบการณ์และบทเรียนมากมาย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ นั้นเคยอยู่กับพรรคไทยรักไทยมาตั้งแต่ปี 2544 และก่อนหน้านั้นก็มีความสนิทมักคุ้นกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ฉะนั้นเส้นทางทางการเมืองที่ยาวนานจะเห็นได้ชัดเจนว่าคณะรัฐประหารทั้ง 2 ชุดไม่ว่าจะเป็นชุด 19 กันยายน 2549 และ 22 พฤษภาคม 2557 นายสมคิดจะมีบทบาททั้งสิ้น

นายจตุพร กล่าวต่อว่า สมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ จะเห็นได้ชัดเจนว่ามีห้วงระยะเวลาหนึ่ง นายสมคิดก็เข้าไปทำเนียบรัฐบาลจะไปบัญชาการเรื่องเศรษฐกิจ แต่ถูกกลุ่มคนที่สนับสนุนให้มีการยึดอำนาจในขณะนั้นไม่พอใจ ก็ต้องออกมาจากทำเนียบรัฐบาล แต่การจัดความสัมพันธ์ก็ยังมีอยู่

“และก่อนหน้านั้นที่ช่วงขณะพรรคไทยรักไทยบริหารประเทศเมื่อย้อนกลับไปดูนั้นก็เห็นว่า การดำรงอยู่ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นั้นไม่ธรรมดา ชนิดที่อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ก็ตกใจว่าสถานการณ์ในขณะตอนปลายก่อนที่จะมีการล้มกระดานกันนั้น นายสมคิดอยู่ในบทบาทไหน แต่ตนไม่ต้องการอธิบายความให้เกิดปัญหากัน แต่บอกว่าไม่ธรรมดาจริงๆ และนึกไม่ถึงว่า นายสมคิดจะวางแผนได้แยบยลและ ไปไกลถึงขนาดนั้น” นายจตุพร กล่าว

หลังจากพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ไปก็ปรากฏว่ามีการตั้งพรรคการเมืองลงเข้าแข่งขันชื่อพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นพรรคที่มีความพร้อมมากที่สุด แต่บังเอิญว่าประชาชนไม่พร้อมจะเลือก ต่อมาเกิดการยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 ถามว่าทำไมพรรคพลังประชารัฐต้องใช้บริการของทีมนายสมคิด และ 4 กุมารเป็นผู้เริ่มต้นเข้าไปจัดการโครงสร้างพรรคเเทบเบ็ดเสร็จ และที่สำคัญหลักจากมีอำนาจในรอบนี้ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา มีการจัดความสัมพันธ์กับสื่อสารมวลชนอย่างเป็นระบบ

ทั้งนี้ หลายคนคิดว่า บรรดาแทคโนเเครต เหล่านี้ไม่มีความเท่าทันทางการเมือง แต่มารอบนี้ตนบอกได้เลยว่าไม่ธรรมดา และทันทีที่ยกชื่อโฆษกรัฐบาลมาเป็นหัวหน้าทีมบริหารเศรษฐกิจนั้นจะโดยตั้งใจหรือไม่นั้นเท่ากับเป็นการยกระดับนายสมคิด และ 4 กุมารให้ขึ้นมาเหนือกว่าภายใต้สถานการณ์นั้น

ดังนั้น การปรับคณะรัฐมนตรีจะไม่ง่ายในสถานการณ์นี้ เพราะเมื่อใช้ในระบบโควตา ในซีกของพรรคพลังประชารัฐจะต้องไปหารกับบรรดาคณะผู้มีอำนาจตัวจริงคือ 3 ป. และป.ใหญ่ที่สุดคือพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แต่ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ภายใต้เศรษฐกิจแบบนี้ จะหาคนใหม่ที่มีศักยภาพเข้ามานั้นยากที่สุด เพราะคนที่รู้ว่า นรก หรือ สวรรค์ ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามา

นายจตุพร กล่าวอีกว่า เมื่อสถานการณ์การปรับคณะรัฐมนตรียืดยาวออกไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคมก็จะยากกว่านี้ โดยเฉพาะตัวเลขโควตาตามสัดส่วน เมื่อแบ่งกันแล้วจัดอย่างไรก็ไม่เพียงพอกับความต้องการ ซึ่งหลักคิดในการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจนั้นต้องคิดต้องเปลี่ยนตั้งแต่ก่อนเสนอร่างพระราชบัญญัติรายจ่ายประจำปี 2564 ตนประเมินว่าการปรับคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องยาก.