ดร.เสรี เผยอ่านคำเรียกร้อง มองดูป้าย ฟังคำปราศรัย บอกเลยว่าม็อบนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่การเรียกร้องเสรีภาพ

ดร.เสรี วงษ์มณฑา ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย และคณาจารย์สถาบันทิศทางไทย นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด ปัจจุบันเป็นประธานคณะกรรมการปฏิประเทศ ด้านสื่อสานมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ ได้เขียนบทความเรื่อง “อ่านคำเรียกร้อง…มองดูป้าย… ฟังคำปราศรัย…บอกเลยว่าม็อบนี้ไม่ตรงปก” โดยมีรายลเอียดดังนี้

การชุมนุมของนักศึกษา หากเป็นพลังนักศึกษาที่มาเรียกร้องเสรีภาพอย่างที่เขาพูดกัน ก็น่าจะถือได้ว่าเป็นพลังที่บริสุทธิ์ที่เกิดจากความรู้สึกว่าชีวิตของพวกเขายังไม่มีเสรีภาพตามที่ต้องการ แต่สิ่งที่ผู้คนสงสัยก็คือ นักศึกษาและแนวร่วมที่มาชุมนุมนั้น เป็นพลังบริสุทธิ์ที่ไม่มีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังจริงหรือเปล่า เพราะป้ายที่พวกเขาถือ และคำปราศรัยที่ปรากฏอยู่บนเวทีนั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่การเรียกร้องเสรีภาพ หรือความต้องการให้ประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตยที่หลุดพ้นจากการปกครองของรัฐบาลที่พวกเขาเรียกว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการ ข้อเรียกร้อง 3 ข้อที่บอกกับรัฐบาลนั้น ไม่น่าจะเป็นการเรียกหาเสรีภาพและความเป็นประชาธิปไตย แต่มีกลิ่นอายของการเมืองอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยุบสภา หรือการกล่าวหาว่ารัฐบาลคุกคามประชาชน และต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สภาไม่ได้ผิดอะไร แล้วจะให้นายกรัฐมนตรียุบสภาได้อย่างไร รัฐบาลคุกคามประชาชนอย่างไร น่าจะมีเหตุการณ์มาแสดงความจริงเชิงประจักษ์ให้เป็นรูปธรรม ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เขาก็ได้ตั้งกรรมาธิการพิจารณาการแก้ไขกันอยู่แล้ว เมื่อพิจารณาทั้งข้อเรียกร้องและคำปราศรัย ใครๆ ก็ดูออกได้อย่างง่ายดายเลยว่าการชุมนุมมีกลิ่นอายการเมืองอย่างชัดเจน

คนที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไร ก็จะใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยในยามนี้อย่างสุขสบาย มีเสรีภาพในการจะแสวงหาความสุขได้โดยไม่มีหน่วยงานใดใช้กฎหมายมาคุกคาม แต่สำหรับคนที่ทำผิดกฎหมาย เมื่อโดนหมายเรียก โดนหมายจับ ถูกดำเนินคดี ต้องติดคุกหรือเสียค่าปรับ จะกล่าวหาว่ารัฐบาลคุกคามประชาชนคงไม่ถูกต้องนัก ข้อเรียกร้องหยุดคุกคามประชาชนก็เป็นเรื่องทางการเมืองที่เกิดกับคนบางคน (จำนวนน้อย) ที่ทำผิดกฎหมาย จะมากล่าวให้เป็นปัญหาของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ ถ้าหากมองด้วยใจเป็นธรรมก็จะเห็นได้ว่า รัฐบาลไม่ได้ใช้ทั้งอำนาจหรือกฎหมายไปคุกคามใคร การบังคับใช้กฎหมายกับคนที่ทำผิดกฎหมายไม่ใช่เป็นการคุกคาม และคนไทยส่วนใหญ่ก็มีเสรีภาพในการดำรงชีวิต คนที่คิดว่าตนเองไม่มีเสรีภาพนั้น อาจจะเป็นเพราะต้องการทำอะไรตามใจตนจนเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด เป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมาย ก็จะต้องถูกดำเนินคดี เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการอยู่ร่วมกันในสังคม ถ้าหากปล่อยให้คนที่ละเมิดกฎหมายลอยนวลโดยไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย แล้วบ้านเมืองจะเป็นระเบียบเรียบร้อยได้อย่างไร ดังนั้นการเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดคุกคามประชาชน จึงเป็นเพียงวาทกรรมที่ต้องการกล่าวหารัฐบาล ทำลายความชอบธรรมของรัฐบาล

ในส่วนข้อเรียกร้องให้ยุบสภานั้น คงจะเป็นเพราะพรรคการเมืองบางพรรคคิดว่าเวลานี้คะแนนนิยมของพรรคกำลังสูงขึ้นจากการที่มีการสำรวจสาธารณมติไปเมื่อเร็วๆ นี้ ดังนั้นจึงอยากให้มีการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้ง และหวังว่าพรรคของตนเองน่าจะได้ชัยชนะ เป็นการคิดที่เห็นแก่ตัวอย่างมาก เพราะเวลานี้สมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรแม้จะมีการทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะเรียกว่าเป็นความผิดร้ายแรงจนไม่อาจจะอยู่ในสภากันได้อีกต่อไปแล้ว ถ้าหากนายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามกฎหมายประกาศยุบสภา นายกรัฐมนตรีจะอธิบายกับสมาชิกสภาผู้แทนฯ ว่าอย่างไร จะทำให้ประชาชนยอมรับการยุบสภาได้อย่างไร และเวลานี้เราต้องใช้เงินจำนวนมากในการแก้ไข เยียวยาและฟื้นฟูประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 19 ประเทศไทยเรารับมือเรื่องโควิดได้ดีมาก และกำลังจะฟื้นฟูเศรษฐกิจ แล้วเราจะยุบสภาเลือกตั้งกันใหม่โดยที่สภาไม่ได้ทำผิดอะไรได้อย่างไร

สำหรับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นก่อนที่จะเรียกร้องเรื่องนี้ ควรจะต้องคิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากการลงประชามติ และผ่านการทำประชามติมาอย่างชัดเจน และประการที่สอง รัฐบาลก็ไม่ได้เฉยเมยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีการเรียกร้องโดยพรรคการเมืองต่างๆ มาก่อนหน้านี้ เพราะเวลานี้ก็มีการตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว การเรียกร้องข้อนี้มีความชัดเจนว่านักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุมครั้งนี้ มีความมุ่งหวังให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้พวกของตนได้อำนาจทางการเมือง และต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทย เพราะเคยมีการพูดกันว่าต้องการให้มีการแก้มาตรา 1 ที่ว่าด้วยประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรที่แบ่งแยกไม่ได้ มีกลุ่มนักการเมืองบางกลุ่มที่ต้องการล้มล้างการปกครองของประเทศไทย ถ้าหากการชุมนุมครั้งนี้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายของการชุมนุม คนที่อยู่เบื้องหลังเยาวชนปลดแอกคงจะได้รับประโยชน์ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ ที่สำคัญคือแนวทางที่พวกเขาต้องการนั้นเป็นสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่รับไม่ได้อย่างแน่นอน

ถ้าหากเราเราอ่านป้ายที่พวกเขายก และฟังคำปราศรัยบนเวทีของพวกเขา เราก็จะเห็นว่าม็อบเยาวชนปลดแอกที่อาจจะเป็นพลังบริสุทธิ์กำลังรับใช้นักการเมืองและขบวนการล้มล้างการปกครองที่กำลังทำกันอย่างเข้มข้น และพวกเขากำลังใช้นักใช้กฎหมู่ของนักศึกษาเป็นเครื่องมือทางการเมือง และอาจจะพยายามดึงต่างชาติให้เข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศไทย ป้ายที่พวกเขาถือและคำปราศรัยของพวกเขาเหมือนจะยั่วยุให้พวกเขาถูกดำเนินคดี ถ้าพวกเขาถูกดำเนินคดีหรือเกิดการปะทะที่รุนแรงตามที่ผู้อยู่เบื้องหลังต้องการ ผู้ที่เสียหายก็คือเยาวชนที่มาชุมนุม ในขณะที่ผู้อยู่เบื้องหลังที่หลอกใช้เยาวชนจะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาอะไรเลย

สิ่งที่ไม่ต้องสงสัยก็คือ คนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังต้องการสร้างความขัดแย้ง เพื่อสร้างวาทกรรมเรื่องการลิดรอนเสรีภาพ และการคุกคามประชาชน และปลุกเร้าให้เยาวชนมาเป็นแนวร่วมในการล้มล้างการปกครอง ด้วยการใส่ความด้วยข้อความบิดเบือนต่างๆ ที่จะทำให้เยาวชนเสื่อมความศรัทธาสถาบันสูงสุดของประเทศ เป็นการล้มล้างการปกครองที่อาจจะเป็นชนวนให้เกิดความรุนแรง อาจจะเกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มเยาวชนปลดแอกกับประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบัน และไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศ เมื่อพิจารณาเป้าประสงค์ของพวกเขาแล้ว เราก็อาจจะสรุปได้ว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขา คงไม่ใช่การต่อสู้ตามแนวทางประชาธิปไตยอย่างสันติ แต่เป็นความพยายามที่จะแย่งชิงอำนาจทางการเมืองโดยอาศัยให้เยาวชนปลดแอกออกมาปฏิบัติการกฎหมู่ เพื่อจะบีบบังคับให้คนส่วนใหญ่ยอมคล้อยตามแนวทางการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่พวกเขาต้องการ ม็อบนี้ฟังคำขอร้อง มองป้าย ฟังคำปราศรัย ต้องบอกว่าไม่ตรงปกจริงๆ.

ขอบคุณที่มาข้อมูลและต้นฉบับ จาก www.thaipost.net