นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวตอบโต้นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ว่า เรื่องที่ตนพูดวานนี้คือประเด็นการเลือกผู้ที่จะมาทำหน้าที่ประธานกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญชุดนี้ ว่าเป็นหน้าที่ของกรรมาธิการฯเขาจะไปเลือกกันเองไม่เกี่ยวข้องกับนายเทพไทพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีตนไม่มั่นใจว่านายเทพไทที่เป็นส.ส.มาหลายสมัยถึงไม่เข้าใจประเด็นง่ายๆเช่นนี้หรือต้องการจงใจเบี่ยงประเด็น
“ผมเป็นส.ส.สมัยแรกหากจะนำตัวเลขทางการเมืองมาเปรียบเทียบกับผมคงสู้นายเทพไทไม่ได้อยู่แล้วแต่สำหรับผมการทำหน้าที่ส.ส.คือการเข้ามาสร้างประโยชน์ให้ประชาชน4-5 เดือนที่ผ่านมาผมเชื่อว่าผมสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนมากกว่านายเทพไทเพราะฉะนั้นการโอ้อวดถึงจำนวนสมัยของการเป็นส.ส.ที่ตนเองเคยเป็นมาคือพฤติกรรมของพวกบ้าตำแหน่งนิยมหัวโขน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณเข้ามาเป็นส.ส.เป็น10 ปีคุณทำอะไรให้เป็นประโยชน์บ้างเท่าที่ผมพยายามค้นหาผมยังไม่เจอ”นายสิระกล่าว
นายสิระ กล่าวต่อว่าอยากฝากไปถึงนายเทพไทว่าผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่ส.ส.ไม่ว่าจะเป็นใครเป็นมากี่สมัยวันนี้ส.ส.ทุกคนคือผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนการที่นายเทพไทพูดจาดูแคลนส.ส.สมัยแรกที่ไม่ได้มีตนเพียงคนเดียวในสภานั้นนายเทพไทต้องย้อนกลับไปมองดูตัวเองในขณะเดียวกันก็ต้องเปิดใจให้กว้างดูการทำงานของส.ส.สมัยแรกหลายๆท่านที่เขาสามารถทำผลงานช่วยเหลือประชาชนได้มากกว่าคนเก่าแก่แต่ไม่ได้ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีแบบนายเทพไท
นายสิระ กล่าวด้วยว่าส.ส.หลายสมัยมีพฤติกรรมพูดจาดูหมิ่นดูแคลนผู้อื่นจนต้องคลานเข้าไปกราบขอโทษผู้หญิงเพื่อให้ตัวเองพ้นคุกพฤติกรรมแบบนี้จะมากล่าวอ้างดีกว่าส.ส.ท่านอื่นได้อย่างไร
ก่อนนี้นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ถึงกรณีนายสิระ ว่าพาดพิงถึงตนและพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้รับความเสียหายการที่ตนต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกฯและรมว.กลาโหมส่งสัญญาณถึงพรรคพลังประชารัฐเพื่อไม่ให้ขัดขวางนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะอดีตนายกฯและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในการเป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นก็เพราะพล.อ.ประยุทธ์ได้แสดงเจตนาอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ให้เป็นเรื่องของรัฐสภา
นายเทพไท กล่าวต่อไปว่าดังนั้นการที่นายสิระออกมาปฏิเสธว่าพรรคพลังประชารัฐไม่เกี่ยวข้องกับพล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่เป็นความจริงเพราะพล.อ.ประยุทธ์คือหัวหน้าพรรคตัวจริงของพรรคพลังประชารัฐ แม้แต่ชื่อพรรคพลังประชารัฐก็มาจากโครงการประชารัฐของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์และที่พรรคพลังประชารัฐได้รับเลือกตั้งสส.เข้ามาจำนวนมากก็เพราะการแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจนซึ่งเปรียบเสมือนการซื้อเสียงล่วงหน้าของรัฐบาล
และที่พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ในตอนนี้ก็เพราะพรรคพลังประชารัฐเป็นผู้เสนอชื่อให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในนามพรรคพลังประชารัฐเพราะฉะนั้นพล.อ.ประยุทธ์คือหัวหน้าพรรคตัวจริงของพรรคพลังประชารัฐการที่ตนสัมภาษณ์ถึงพล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นการแสดงความเห็นทางการเมืองเป็นเรื่องของผู้ใหญ่คุยกันเด็กๆอย่างนายสิระ ก็ไม่ควรมายุ่งเกี่ยวเหมือนกับการที่แม่ทัพนายกองเขาเจรจากันทหารเลวหน้าค่ายไม่ควรมาสอดรู้สอดเห็นหรือจัดการงานนอกสั่ง“
“นายสิระไม่จำเป็นต้องมาสอนมารยาททางการเมืองกับผมเพราะผมเป็นสส.มาหลายสมัยซึ่งต่างกับนายสิระ ที่เป็นสส.สมัยแรกและไม่แน่ใจว่าเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้เข้ามาในสภาฯอีกหรือไม่ คุณก็เป็นได้แค่สส.แดดเดียวที่อาศัยใบบุญของพล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาในสภาฯอยากจะบอกให้นายสิระว่าเอาเวลาไปเตรียมตัวแก้ข้อกล่าวหาที่นายศรีสุวรรณจรรยายื่นต่อป.ป.ช.กรณีที่ไปมีพฤติกรรมกร่างใส่ตำรวจที่ภูเก็ตและเตรียมตัวขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะดีกว่า
พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคการเมืองที่ได้คืบจะเอาศอกตามที่ถูกกล่าวหาการเป็นประธานสภาฯของนายชวนหลีกภัยก็เพราะความเห็นพ้องของทุกฝ่ายและเป็นการทำหน้าที่ได้ดีที่สุดหากดูองค์ประกอบของสส.ในสภาชุดนี้ที่มีความหลากหลายเช่นนี้ถ้าประธานสภาฯไม่ใช่คนที่ชื่อชวนหลีกภัยไม่รู้ว่าสภาฯชุดนี้จะวุ่นวายขนาดไหนการที่พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อนายวีระกรคำประกอบ นายวิรัชรัตนเศรษฐ์นายวิเชียรเชาวลิต จนถึงนายสุชาติตันเจริญให้เป็นประธานกรรมาธิการฯชุดดังกล่าวก็ยังไม่มีเสียงการตอบรับจากสังคมเลยจนวันนี้มีการนำชื่อของนายบวรศักดิ์อุวรรโณอดีตกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญมาเพื่อโยนหินถามทางนั้นก็ต้องรอดูว่ามีการตอบรับหรือถูกวิพากษ์วิจารณ์มากน้อยแค่ไหน” นายเทพไทกล่าว
ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่าเมื่อพรรคประชาธิปัตย์เสนอนายอภิสิทธิ์นั่งตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ ก็เพราะเห็นว่าเป็นผู้มีศักยภาพสูงมีประสบการณ์ทางการเมืองมายาวนานเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ถ้าพรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อใครขึ้นมาก็อยากให้สังคมพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างบุคคลเหล่านั้นกับนายอภิสิทธิ์ว่าใครมีความเหมาะสมในการทำหน้าที่นี้มากกว่ากันถ้าพรรคพลังประชารัฐจะอ้างสิทธิ์การเป็นพรรคการเมืองใหญ่ต้องการให้คนของตัวเองเข้ามานั่งในตำแหน่งประธานกรรมการประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้จริงก็อยากจะถามถึงเจตนาว่ามีความจริงใจในการศึกษาปัญหารัฐธรรมนูญมากน้อยแค่ไหนหรือจะขอให้เป็นเพียงแค่พิธีกรรมหรือเพื่อซื้อเวลาไม่ให้ถูกโจมตีว่าไม่ได้ทำตามนโยบายเร่งด่วนที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาเท่านั้น.
12 ธันวาคม 2566…
This website uses cookies.