สว.สมชาย ปลุกทบทวนบทเรียนร่วมกันฝ่าฟันเอาชนะ ‘โควิด’ ไปด้วยกัน ลั่นประเทศไทยต้องชนะ

นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) และประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า ช่วยกันแก้ไขร่วมให้กำลังใจ ศบค แพทย์ พยาบาล ทหาร ตำรวจ พลเรือน อสม และคนไทยทั้งประเทศร่วมสู้โควิดต่อดีกว่าครับ

“รั่วก่อน รู้ก่อน แก้ไขก่อน ตั้งการ์ดสูงต่อ ปรับเข้มมาตรการทุกระดับรับมือระลอก2 ประเทศไทยต้องชนะร่วมกันครับ”

งานนี้โชคดีถ้าไม่ระบาดระลอก2 ต้องถือเป็นcase studyและเร่งถอดบทเรียนกรณีทูตซูดานเครื่องบินทหารอียิปต์

ขอเสนอมายังนายกลุงตู่และศบคเพื่อพิจารณาตามสมควรดังนี้

1)ควรพิจารณามาตรการ quarantine การกักตัวคนเข้าเมืองใหม่ทั้งหมด
-ระบบ SQ (state quarantine )ที่รัฐจัดให้คนไทยที่กลับจากต่างประเทศมาเกือบ2เดือนแม้มีปัญหาขลุกขลักบ้างแต่ไม่ปรากฎปัญหารูรั่ว ควรคงมาตรการเข้ม ทำดีแล้ว ทำต่อไปครับ

-ระบบASQ (alternate SQ) ที่ให้ปชช.เลือกจ่ายเองได้นั้นยังควบคุมได้ แต่ต้องย้ำตรวจสอบมาตรฐานใกล้ชิดเข้มข้นทุกสถานที่ทุกกรณีต่อเนื่อง ป้องกันมิให้มีรั่วไหล

-ระบบใหม่ OBQ (organization base quarantine )ที่ให้ผู้เชิญเป็นผู้จัดดูแลและเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ตัวอย่างเช่นโรงงาน จะพา จนท.เทคนิคจากตปท. มาทำงาน ต้องจ่ายเอง และให้ใช้กับสถานทูตและองค์การระหว่างประเทศด้วยในการควบคุมดูแลและจ่ายค่าใช้จ่ายเอง ในระบบไว้ใจเชื่อใจกัน ส่วนนี้พบช่องโหว่แล้วในกรณีครอบครัวทูตซูดานและอาจมีอีกหลายกรณีตามมา เพราะมาตราฐานการควบคุม ทัศนคติ และงบประมาณแต่ละประเทศที่แตกต่างกันมาก

2)กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุขต้องร่วมกันพิจารณายกระดับการพิจารณาจัดกลุ่มประเทศของสถานทูตและองค์การระหว่างประเทศ3กลุ่มระดับ ได้แก่ สีแดง=กลุ่มประเทศติดเชื้อและมีการระบาดมาก สีเหลือง=กลุ่มประเทศเฝ้าระวังมีการติดเชื้อแต่ไม่พบการรระบาด และสีเขียว=กลุ่มประเทศที่ปลอดภัยไม่มีการติดเชื้อและไม่มีการระบาด

3)กรมควบคุมโรคต้องจัดแพทย์ไทยเข้าร่วมการพิจารณาตรวจสอบสถานที่และมาตรการกักตัวนอกสถานเอกอัครราชทูตและทำเนียบทุกกรณี

เหตุเพราะในปัจจุบันที่ทำงานหลายส่วนของสถานทูตและที่พักส่วนใหญ่ของเจ้าหน้าที่และครอบครัวนั้น ไม่ได้พักอาศัยรวมกันในทำเนียบทูต แต่เป็นการเช่าอาคารสำนักงาน และเช่าพักตามคอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร ใกล้ถนนสุขุมวิท ถนนวิทยุ ถนนสาทรฯลฯ ตามแต่งบประมาณที่ได้รับ อาศัยปะปนไปกับประชาชนคนไทยมิได้แยกเอกเทศไปเช่นในอดีต ทำให้มาตรการให้เกียรติกักตัวกันเองนั้น ไม่ได้มีการปฏิบัติจริง

4) ทบทวนมาตรการกักตัวตามระยะเวลาที่จะเข้าอยู่ในประเทศนานแทนการพิจารณาตามคุณสมบัติบุคคล เช่น ถ้าเข้ามาอยู่นาน เกิน 1-2เดือนขึ้นไปต้องเข้า SQหรือASQ เพราะบุคคลเหล่านี้เสี่ยงต่อการที่จะเดินทางอิสระเหมือนคนไทยที่ปลอดการติดเชื้อจากภายในมานนานกว่า48วันแล้ว

5)ยกระดับการอนุญาตเรือและอากาศยานทางทหารระหว่างประเทศภายใต้มาตรการควบคุมเข้มงวดเมื่อเข้าอยู่ในน่านนำ้และน่านฟ้ารัฐไทยทุกกรณี

6)ตรวจสอบกระชับมาตรการในผ่อนคลายระยะที่5 ที่ใช้อยู่อย่างเคร่งครัดในการการรักษาระยะห่าง การจำกัดจำนวนต่อพื้นที่ ทั้งการเปิดผับ บาร์ร้านอาหาร ศูนย์การค้า สถานบันเทิง และโรงเรียนฯลฯ

7)รัฐบาลควรสั่งเร่งด่วนตรวจหาเชื้อโควิดเชิงรุกในทุกพื้นที่เสี่ยงในกทมและระยอง (ข้อมูลศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ และการวิจัยและการพัฒนา วช.รายงานการตรวจเชื้อโควิดสะสมแล้ว 652,089คน คิดเป็น0.49%)

#ทบทวนบทเรียนร่วมให้กำลังใจกันและกันฝ่าฟันเอาชนะโควิดไปด้วยกัน

#ประเทศไทยต้องชนะครับ

admin

This website uses cookies.