มายาคติแห่งความเป็นไปได้

เอ็มโอยู

พรรคก้าวไกลอาจกำลังร้องเพลง “รางวัลแด่คนช่างฝัน”ของ จรัล มโนเพ็ชร ว่า

“อย่ากลับคืนคำเมื่อเธอย้ำสัญญาอย่าเปลี่ยนวาจา เมื่อเวลาแปรเปลี่ยนไป………”

แต่ในยามนี้ จะร้องได้ไพเราะหรือร้องเสียงดังเท่าไร ก็ไม่มีใครฟัง เพราะวันนี้เลิกถือสัจจะวาจากันแล้ว

มีคนให้คำนิยามว่า การเมืองไทย

คือ”ศิลปะแห่งความเป็นไปได้” ขอแย้งว่า คำว่า”ศิลปะ”นั้นมีความประณีตงดงามในตัวของมันเอง การเมืองไทยจึงไม่ควรค่าต่อศิลปะ

ขอนิยามใหม่ว่าการเมืองไทยคือ

“มายาคติแห่งความเป็นไปได้ “ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยต้นทุนมหาศาลเพียงใดก็ตาม

เพราะสิ่งที่เรียกว่า”ตระบัดสัตย์” “เสียสัตย์เพื่อชาติ” ทรยศ” “หักหลัง”

“สับปลับ” “ตลบแตลง”

ถูกนำมาใช้เต็มพิกัดในยามนี้ มันไปไกลถึงขั้นมีคนตั้งละครคณะใหม่ชื่อ
“เพื่อไทยการละคร”ขึ้นแล้ว

การเจรจาจัดตั้งรัฐบาลที่ยืดเยื้อมาเกือบสามเดือนทำท่าจะลงตัว เนื่องจากมีท่าทีว่า พรรคสองลุงเข้ามาร่วมแล้ว นั่นหมายถึงความคาดหวังว่าจะมีเสียง ส.ว.มาเติมอีกราว 60 เสียงจากที่มีอยู่ 315 เสียง ก็จะเพียงพอได้เสียงเกินครึ่งของรัฐสภา

ก่อนหน้านี้ล่ะ

“พรรคเพื่อไทยเรายึดถือเจตนารมณ์และหลักการประชาธิปไตย ยังคงสนับสนุนพรรคก้าวไกลอย่างสุดกำลัง และเราจะส่งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์เป็นนายกรัฐมนตรีจนสุดมือ”(เศรษฐา ทวีสิน 15 กค.66)

ความพยายามตรงไหนที่บอกว่า “สุดกำลัง”

เศรษฐา คนเดียวกัน รวมทั้ง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หน.พท.และ แพทองธาร ชินวัตร ประกาศ”ไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคสองลุง” ชลน่าน ถึงกับเดิมพันด้วยตำแหน่งหัวหน้าพรรค

จากการตั้งข้อรังเกียจ มาวันนี้กลายเป็นทอดไมตรี”ชอล์คมิ้นต์”

ผู้ทรงอิทธิพลแห่งพรรคภูมิใจไทยที่ประกาศแข็งขันว่า”มันจบแล้วครับนาย” ก็เปลี่ยนมาเป็นการผูกมิตรจับมือกันใหม่

ที่เคยบอกว่า”ไล่หนู ตีงูเห่า” ก็กลายเป็น”กวักมือเรียกหนู ต้อนรับงูเห่า”

คำว่า “มีลุง ไม่มีเรา” จะถูกลืมเลือนไป เพราะต่อจากนี้ “เรามีลุงแล้ว”แม้จะเป็นลุงซ่อนรูปก็ตาม

นักการเมืองจะมีวิธีการทำให้พฤติกรรมตระบัดสัตย์กลายเป็นสิ่งที่ดูดีขึ้นมา

เช่นแทนที่จะพูดว่า”รัฐบาลข้ามขั้ว”จะกลายเป็น”รัฐบาลสลายความขัดแย้ง” เมื่อต้องผิดคำพูด ก็จะใช้คำว่า

“เราต้องยอมรับความเป็นจริง”แล้วสิ่งที่เคยพูดไว้ก็จะลืมๆกันไป เพราะการได้เป็นรัฐบาลนั้นมีเดิมพันมหาศาล

นอกจากผูกพันกับงบประมาณเป็นล้านล้านบาทแล้ว ยังต้องเอื้อต่อการเดินทางกลับไทยของคนแดนไกลที่จะต้องบริหารจัดการให้มีอิทธิฤทธิ์เหนือกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดทั้งมวล

นับแต่นี้ต่อไป

สิ่งที่พูดจะไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ทำจะไม่ใช่สิ่งที่พูด คำพูดใดๆที่พูดออกไปแล้ว จะเปลี่ยนผันไปอย่างไรก็ได้ด้วยการหาคำตะแบงใหม่

วิถีปฏิบัติใหม่หรือที่เรียกว่า New Normal ของการเมืองไทยนับแต่นี้ไป ไม่ใช่อะไรอื่น หากคือ “ความคุ้นชินที่จะตระบัดสัตย์” หรือ “มายาคติแห่งความเป็นไปได้” นั้นเอง

เขียนโดย ประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา(สว.)