‘หมวดเจี๊ยบ’ แนะรัฐบาลบิ๊กตู่ เอาอย่างจีน สั่งห้ามเปิบพิสดาร สกัด ‘ไวรัสโคโรนา’

ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊กโดยมีรายละเอียดดังนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่ามาอ้างว่ารัฐบาลจีนไม่ยอมให้รัฐบาลไทยส่งเครื่องบินไปรับคนไทยกลับประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากไวรัสโคโรน่า เพราะสื่อต่างประเทศ รายงานว่า ขณะนี้ สหรัฐได้ส่งเครื่องบินไปรับประชาชนและเจ้าหน้าที่ทางการทูตออกจากอู่ฮั่นแล้วนับร้อยคน

ถ้าสหรัฐทำได้ แล้วทำไมรัฐบาลประยุทธ์ทำไม่ได้ มันหมายความว่าอย่างไร

อยากถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เป็นห่วงคนไทยหรือยังไง ทำไมจึงไม่รีบส่งเครื่องบินไปรับ ทั้ง ๆ ที่ กองทัพอากาศและการบินไทยก็จัดเตรียมเครื่องบินไว้พร้อมแล้ว รอแค่คำสั่งไฟเขียวจากรัฐบาลประยุทธ์เท่านั้น

ทำให้ขณะนี้ คนไทยตั้งคำถามกันมากว่าเหตุใดรัฐบาลสหรัฐจึงรีบช่วยเหลือประชทชนของเขาได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ รัฐบาลประยุทธ์ทำงานอย่างเชื่องช้าในการรับมือกับปัญหาไวรัสโคโรน่า และรัฐบาลไทยอาจประเมินสถานการณ์ของโรคต่ำเกินไป

ทั้ง ๆ ที่ ขณะนี้ ประเทศไทยมีคนติดเชื้อไวรัสโคโรน่ามากที่สุดในโลก รองจากจีน ก็สมควรแล้วทีมีการตั้งแฮชแท็ก #รัฐบาลเฮงซวย ซึ่งถือว่าเป็นคำวิจารณ์ที่เบาเกินไปด้วยซ้ำ เมื่อเทียบความบกพร่องและเชื่องช้าในการ ปกป้องผลประโยชน์ของคนไทยในค่างแดน อันที่จริง ต้องบอกว่า #รัฐบาลยิ่งกว่าเฮงซวย ด้วยซ้ำ.

นอกจากนี้ รัฐบาลประยุทธ์ไม่ควรหวังพึ่งแค่การคัดกรองผู้ติดเชื้อที่สนามบินเท่านั้น แต่ต้องกระตุ้นให้คนกลุ่มเสี่ยงเป็นฝ่ายเข้ามารายงานตัวเพื่อให้ข้อมูล หรือ ที่เรียกว่า Self Report ซึ่งจะประหยัดเวลาและงบประมาณ แต่รัฐบาลต้องกำหนดศูนย์กลางการติดต่อ ว่าให้ไปรายตัวที่ไหนอย่างไร

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของชาติตะวันตกระบุว่า ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าอาจแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ แม้จะไม่แสดงอาการของโรค และเชื้อไวรัสมีระยะฟักตัวราว 2 สัปดาห์ ดังนั้น การคัดกรองที่สนามบินอาจไม่สามารถตรวจพบผู้ติดเชื้อได้ 100% แต่เชื้อไวรัสโคโรน่าสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้จึงถือว่าน่าเป็นห่วงมาก

โดยรัฐบาลต้องรายงานความคืบหน้าต่าง ๆให้ประชาชนทราบผ่านโซเชี่ยลมีเดียด้วย เช่น เฟสบุ๊ค ไม่งั้นประชาชนอาจเข้าไม่ถึงข้อมูลต่าง ๆ ของรัฐบาล

ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลงมานั่งบัญชาการเหตุการณ์ด้วยตนเองอย่าปล่อยให้เป็นแค่เรื่องของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเท่านั้น

แต่ต้องบูรณาการการทำงานของหลายกระทรวงเพื่อรับมือ โดยเฉพาะกระทรวงการค่างประเทศต้องตอบสังคมให้ได้ว่า ตัวเลขคนไทยในอู่ฮั่นมีจำนวนเท่าไหร่และพวกเขาต้องการความช่วยเหลืออย่างไรบ้าง

และต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วยและแนวทางรักษาโรคกับรัฐบาลต่างประเทศ เพราะมีรายงานว่า ยอดผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มแบบก้าวกระโดดถึง 150,000 – 350,000 ราย หลังจากชาวอู่ฮั่น 5 ล้านคน เดินทางกลับภูมิลำเนา หลังจากไปท่องเที่ยวช่วงตรุษจีนหลายสัปดาห์ ซึ่งก็สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของรัฐบาลจีนในการเร่งสร้างโรงพยาบาลขนาด 1,000 เตียง เพิ่มอีก 1 แห่ง โดยใช้เวลาสร้างเพียง 6 วัน

แสดงว่าทางการจีนต้องประเมินว่าการแพร่ระบาดของโรคกำลังจะหนักขึ้น ไม่งั้นเขาจะเร่งสร้างโรงพยาบาลเพิ่มเพื่ออะไรกัน

ดังนั้น พล.อ. ประยุทธ์ ต้องสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบข้อมูลกับรัฐบาลจีนว่ารายงานของสื่อต่างประเทศเป็นความจริงหรือไม่ เพื่อให้คนไทยทราบสถานการณ์ที่แท้จริง ไม่งั้นจะทำลายความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

เพราะไทยเป็นประเทศที่ชาวจีนนิยมมาท่องเที่ยวเป็นอันดับต้น ๆ และส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจีนก็เดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถไฟฟ้าปะปนกับคนไทย ซึ่งบนรถไฟฟ้าก็มีการเบียดเสียดกันชนิดเนื้อแนบเนื้อ จึงอาจกระทบความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ

ดังนั้น รัฐบาลประยุทธ์ค้องสร้างความมั่นใจว่ามีมาตรการและมีความพร้อมที่จะรับมือการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าที่ชัดเจนหากสถานการณ์ของโรคดังกล่าวลุกลามบานปลายในอนาคต ไม่งั้นก็จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยก็ต้องควบคุมการบริโภคสัตว์ป่าซึ่งเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคประหลาด ๆ มาสู่คนด้วย เพราะขณะนี้ทางการจีนสั่งห้ามการเปิบพิสดารดังกล่าวแล้ว แล้วรัฐบาลประยุทธ์จะมัวรออะไรอยู่.