‘จตุพร’ ชี้คนที่บอกว่าการนิรโทษฯจะเป็นเหตุให้ช่วย ‘สุเทพ’ เพราะกำลังเข้าใกล้คุก ถือเป็นความเข้าใจผิดอย่างรุนแรง

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวในรายการลมหายใจพีซทีวีเวทีทัศน์วานนี้ ถึงการแสดงความเห็นกับกระแสข่าวการนิรโทษกรรมว่ามีคนสอบถามตนมากมายจากการที่สื่อบางฉบับได้นำเอาไปลงโดยอ้างข้อมูลจากฐานในซีกของผู้มีอำนาจจนในที่สุดได้รับการปฏิเสธจากโฆษกรัฐบาลและทำให้เกิดความเห็นต่างๆขึ้นมากมาย

รวมถึงบางคนก็แสดงความคิดเห็นกันว่าการนิรโทษจะเป็นเหตุให้มีการช่วยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งกำลังใกล้จะติดคุกนั้น ตนถือว่าเป็นความเข้าใจผิดอย่างรุนแรงเพราะคดีของนายสุเทพยังคงอีกยาวไกลเนื่องจากคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมในปี 2556 และ 2557 คาดว่าจะมีการตัดสินจากศาลชั้นต้นคาดว่าอาจจะเป็นต้นปีหน้า ส่วนคดีที่เกี่ยวข้องกับโรงพักนั้นยังไปไม่ถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 

ดังนั้นเพื่อความเข้าใจตรงกันว่าคดีของนายสุเทพ นั้นยังห่างไกลในเรื่องคำว่าใกล้คุกเมื่อเทียบกับพี่น้องประชาชนคนเสื้อแดงซึ่งอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงซึ่นตนจะไม่เเสดงความเห็นว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม เพราะว่าตนมีความเกี่ยวข้องอยู่แต่อยากจะเล่าว่าในช่วงกว่า10 ปีนี้ไม่มีใครได้รับความทุกข์มากไปกว่าพี่น้องคนเสื้อแดงอีกแล้วซึ่งจริงๆก็ติดคุกกันทุกฝ่ายเพียงแต่ฝ่ายเสื้อแดงติดคุกกันจำนวนมากและจำนวนปีที่มากกว่า 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องที่ต้องคดีเรื่องเผาศาลากลางจังหวัดไปตายในคุกก็มีถูกลงโทษไม่สถานหนัก33 ปี4 เดือนยังอยู่ในเรือนจำอีกหลายจังหวัดเป็นจำนวนมากรวมถึงคดีอื่นๆไม่ว่าจะเป็นในซีกของประชาชนหรือซีกของแกนนำ ทั้งที่ถูกคุมขังในคดีพัทยาและคดีอื่นรวมถึงอยู่ระหว่างรอการตัดสินของศาลฎีกาในวันที่26 มิถุนายนนี้ 

ดังนั้นเป็นห้วงเวลาของความยากลำบากในช่วงกว่า10 ปีนี้หลายคนคิดว่าได้เสร็จสิ้นและจบกันไปแล้วแต่ความจริงผลพวงของเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นปี52 และเหตุการณ์ปี53 ก็ตามเรื่องราวก็ยังไม่จบในซีกของฝ่ายประชาชนยังอยู่ในเรือนจำยังอยู่ในช่วงของการพิจารณาคดีอีกจำนวนมาก 

แต่เมื่อมีการยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดก็เชื่อว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเพราะตลอดระยะกว่า10 ปีนี้รวมกระทั่งเมื่อมีสถานการณ์ใดเกิดขึ้นเราก็มักจะได้รับการชวนคุยในเรื่องการปรองดองและความสมานฉันท์ซึ่งก็เป็นที่ประจักษ์ว่าในส่วนของนปช. นั้นให้ความร่วมมือมาโดยตลอดตนพยายามอธิบายกับบรรดาหมู่มิตรว่าไม่ง่ายกับการเปรียบเสมือนที่มีตัวประกันอยู่ในเรือนจำเป็นจำนวนมากบ้างก็หลบลี้หนีภัยก็เหลืออีกจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อมีเหตุการณ์อะไรกันนั้นตนในฐานะคนที่ยืนอยู่ในหัวแถวนั้นตนจะไม่ได้มองความรู้สึกซึ่งหน้าในขณะนั้นๆเพราะเราผ่านความตายกันมามาก 

ขณะเดียวกันก็มองทะลุไปว่าคนที่เหลืออยู่ซึ่งอยู่ในสภาพหลบลี้หนีภัยนั้นจะมีสภาพอยู่ในสถานการณ์ใดเมื่อมีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดตนก็น้ำลายเหนียวเพราะจะพูดปฏิเสธแบบสุดโต่งก็ไม่ได้และข้อเท็จจริงเวลาของนายสุเทพก็เหลืออีกนานเพียงแต่ต้องบอกว่าความจริงว่าในซีกของประชาชนที่ร่วมในการต่อสู้กันมานั้นอยู่ท่ามกลางความยากลำบากเพราะส่วนใหญ่เป็นคนยากจนและเมื่อเจอสถานการณ์เวลาผ่านมากว่า10 ปีนั้นหลายคนก็บอกว่าเสร็จสิ้นแล้วแต่ข้อเท็จจริงยังไม่จบสิ้นและแต่ละฝ่ายก็อยู่ในจุดที่ช่วยเหลืออะไรใครไม่ได้หมายความว่าคนที่ติดคุกนั้นก็อยู่ท่ามกลางความยากลำบาก

ส่วนสถานการณ์ความขัดแย้งต้องยอมรับว่ากว่า10 ปีนี้สถานการณ์ความขัดแย้งได้เปลี่ยนแปลงกันไปมากซึ่งดูได้จากความรู้สึกของประชาชนเพราะในช่วงที่มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงหลายคนก็ไปในบางที่ไม่ได้และบางฝ่ายก็ไปบางที่ได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายเหลืองแดงสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ทุกพื้นที่ 

พร้อมยกประวัติศาสตร์ในสมัยที่มีความขัดแย้งในเรื่องของลัทธิความเชื่อจนนำไปสู่การตั้งกองกำลังที่เรียกว่ากองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทยกับกองกำลังของรัฐก็เป็นเรื่องของความเชื่อแต่ก่อนปลายทางที่จะมีนโยบาย66/23 นั้นความรักชาติไม่ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์หรือซีกรัฐบาลปลายทางก็ทำให้เห็นว่ายังไงคนไทยก็เป็นคนไทยวันยังค่ำแม้ว่าความเชื่อจะทำให้คนฆ่ากันตายจำนวนมาก 

อย่างไรก็ตามหลายเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในขณะนี้สภาพเวลาที่ผ่านยาวและสังขารที่ร่วงโรยตามลำดับรวมถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจำนวนมากแต่ความเป็นจริงก็รู้จักกันทุกฝ่ายเพราะในแต่ละฝ่ายเคยเป็นฝ่ายเดียวกันมาก่อนในเหตุการณ์พฤษภาคม2535 ก็รู้จักกันทั้งหมด 

ดังนั้นไม่ว่าวงใดชวนไปคุยก็มักจะไปแลกเปลี่ยนสนทนา เพราะความเข้าใจว่าเรามีตัวประกันจำนวนมาก แม้อีกฝ่ายจะติดคุกในจำนวนที่ไม่นานอีกทั้งในซีกของประชาชนจะเห็นได้ว่ามีวิวาทะกันน้อยมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าเราจะมีความคับข้องใจในหลายเรื่องราว แต่สถานการณ์ที่ตนบอกว่าหากใครมายืนบนหัวแถวแบบตนนั้นบางเรื่องอยากจะพูดบางเรื่องอยากแสดงความคิดเห็น แต่พื้นที่มันแคบลงเพราะพวกหลบลี้ภัยก็ไม่รู้ว่าจะโดนวันไหนพวกหนึ่งก็ยังอยู่ในเรือนจำและพวกหนึ่งคดีก็ยังจ่ออยู่ 

นายจตุพรกล่าวด้วยว่าตนขอเตือนบรรดาหมู่มิตรและนักเคลื่อนไหวทั้งหลายว่าการขับเคลื่อนทางการเมืองในฐานะคนเคยผ่านทางจะต้องขีดเส้นใต้ให้ได้ว่าเอาเฉพาะเรื่องสามัญชนเป็นเรื่องของประชาชนไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใดเราสามารถวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะประชาชนแต่ต้องละเว้นและต้องไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์เพราะจะเป็นจุดที่เปราะบางและจะเกิดเรื่องต่างๆมากมาย 

ดังนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ตนอยากส่งเสียงดังๆว่าการเคลื่อนไหวการแสดงออกทางการเมืองนั้นต้องเป็นเรื่องของประชาชนกับประชาชนไม่ใช่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ 

หากการเคลื่อนไหวในลักษณะอย่างนี้ในส่วนเฉพาะประชาชนเราจะมีภูมิต้านทานแต่หากไม่รู้จักการขีดเส้นท้ายที่สุดนำไปสู่ความพ่ายแพ้และหายนะซึ่งตนก็ไม่ต้องอธิบายว่าอะไรจะเกิดขึ้นเพียงแต่มุมมองณขณะนี้เราต้องระมัดระวังเพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือองคาพยพคือประชาชนที่ได้ร่วมทางในการต่อสู้ดังนั้นในฐานะคนผ่านทางขอเตือนด้วยความห่วงใย