‘จตุพร’ เอือม ‘บ่างช่างยุ’ นอกสนามรบ ใส่ร้ายคนสู้ในสนามรบ ชี้ทัศนคติแย่-เป็นคนใช้ไม่ได้

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊คไลฟ์ PEACETALK วานนี้ช่วงหนึ่งว่า การเมืองมีความแตกต่างความคิดเห็นกันได้ การวิเคราะห์แบบอคติย่อมคิดแบบเดิมว่า ต้องขับเคลื่อนด้วยท่วงทำนองแข็งกร้าวตลอดเวลา ทั้งที่ไม่รู้สถานการณ์ที่เป็นจริง และยังไม่ต้องรับผิดชอบอะไรด้วย กลับมาแสดงความเหนือกว่าหรือเป็นคนสู้จริงกว่า

“ผมบอกว่านี่ไม่ให้ความเป็นธรรมกับคนที่อยู่เลยนะ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่อยู่ เมื่อเวลาพูดก็ขึ้นเกียร์ห้าตลอดเวลา ส่วนคนที่อยู่ยังไม่สตาร์ทก็โดนตะครุบตัวแล้ว แต่คนที่ไม่อยู่กลับมาอบรมสั่งสอนคนอยู่ คอยปั่นหัวเหมือนปั่นจิ้งหรีด เพราะไม่ต้องรับผิดชอบอะไร อีกทั้งหลายเหตุการณ์กับการพูดที่ไม่รับผิดชอบก็เกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นมามากมาย”

“ผมไม่อยากวิวาทะด้วยเลย แต่เหน็บบ่อยเข้าก็ได้ใจ บางคนนินทาลับหลังสารพัดทั้งที่ตัวเองโชคดีไม่ถูกดำเนินคดีกับคนอื่นเขา เพราะพวกนี้ยังคิดแบบเดิม ทั้งที่ภูมิรัฐศาสตร์การเมืองมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”

นายจตุพร กล่าวว่า บางคนไม่ได้ดูสังขารเลย ต้องการให้ตนเล่นฟุตบอลแล้ววิ่งเร็วเหมือนเมื่อ 18 ปีที่แล้ว ทั้งที่วิ่งไม่ไหวแล้ว แต่เล่นฟุตบอลได้โดยต้องจัดจังหวะใหม่ เพราะกลัวเป็นลมหรือหัวใจวายคาสนามกันพอดี

“ส่วนพวกกองยุก็ให้วิ่งเหมือนตอนหนุ่มๆ พอเราไม่วิ่งก็เกิดขัดใจจึงอบรมสั่งสอนผ่านโซเชียล เหน็บกับคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง ไปนินทาตรงโน้น ตรงนี้บ้าง ผมว่ามันไม่ไหว คุณอยากคิดอะไร คุณก็ทำเองสิ ถ้ากล้ามากนักก็มาสิ ใครห้าม แต่คุณไม่ได้เป็นเจ้าชีวิตว่าทุกคนต้องคิดเหมือนกัน ดังนั้นการออกแบบการต่อสู้ คนที่อยู่ในโลกความเป็นจริงต้องคิดเอง คนประเภทเป็นเสนาธิการ อ่านมาก๊ก 7 รอบก็อยู่ในโลกจินตนาการอย่างนั้น ใครขัดใจก็ด่าจะเป็นจะตายขึ้นมา”

อีกทั้ง หากมายืนในจุดที่ต้องรับผิดชอบทุกกรณีแล้ว คุณต้องมองในจุดที่ว่า อะไรที่ทำให้พรรคพวกหมู่มิตรเขาเดือดร้อน ลองมาติดคุกบ้างสิ หรือไปหลบลี้หนีภัยประเทศใกล้ๆบ้าง คนอยู่นอกคุกพูดก็มันดี กองเชียร์ก็เชียร์กันไป แต่เพื่อนเดือดร้อน ยิ่งคนหลบหนีภัยยิ่งอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด

นายจตุพร กล่าวว่า ที่ยกเรื่องนี้มาพูดนั้น เพราะเริ่มเบื่อในการฟังวิเคราะห์ของคนบางคนที่อวดด่าตนหลายรอบ ทั้งที่ตนไม่โต้ตอบอะไรก็พยายามเฉยเป็นส่วนใหญ่ และตนบอกเลยว่า ในการต่อสู้นั้น คุณต้องอยู่ในสถานการณ์ ต้องการเป็นอะไรตัวเองต้องมาเป็นก่อน แต่กลับคิดใหญ่คิดโต อยู่ไกลไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ซึ่งไม่ไหวเลย

“ยกเรื่องนี้มาคุยกัน เพราะโลกโซเชียลมีเดียหรือโลกซุบซิบนินทานั้น เป็นเรื่องขยายวงแล้วสร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้น ผมบอกว่า ผมมีหน้าที่คิดอย่างไรก็ตาม เพราะไม่มีปัญญาไปช่วยบรรดาพี่น้อง ประชาชน และแกนนำที่กำลังติดคุก ใครไม่เข้าไปอยู่ในเรือนจำจะไม่เข้าใจ ผมอยู่ในภาระที่ว่า การต่อสู้พยายามรักษาศาลาไม่ให้ร้างไหว เพราะเรื่องราวในการต่อสู้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ยังมีคนติดคุก ต้องต่อสู้คดีเยอะแยะมากมาย แต่กลับไปขยายว่า ยินยอมนั่นนี่ เอาตัวเองรอด ผมเคยรอดที่ไหน ไปอ่านสำนวนคำวินิจฉัยดู ใครก็รู้ว่าผมไม่รอด ผมคิดรอดก็บ้าแล้ว”

นอกจากนี้ ยังเน้นว่า ต้องการบอกว่า เราต้องอยู่บนโลกในความเป็นจริง ไม่มีอะไรที่ไม่เคยทำและต่อสู้ ผ่านมาแทบทุกชนิด ยกเว้นตายอย่างเดียว และอยู่อย่างยากลำบาก แต่การพูดที่ไม่รับผิดชอบ สร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้น ตนถือเป็นความเลวร้าย

ดังนั้น การแสดงความคิดเห็นใด ต้องรักษาบรรยากาศ อย่างน้อยที่สุด เรามีภาระกิจต้องทำอย่างไรที่จะปลดปล่อยพี่น้องได้รับอิสรภาพนั้นเป็นเรื่องใหญ่ พื้นที่การต่อสู้เมื่อ 10 ปีที่แล้วมันกว้าง แต่ปัจจุบันพื้นที่แคบเพราะตัวประกันมากเหลือเกิน

“คนที่แสดงออกทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย ผมก็มีการข่าวของผมอยู่ ผมเห็นว่าเป็นทัศนะคติที่แย่มาก ใช้ไม่ได้ และที่ไม่ตอบโต้ก็อย่าชะล่าใจ ที่พูดเพื่อเตือนว่า อย่าเห็นแก่ตัวให้มาก อยู่ในสนามรบต้องรับผิดชอบ ถ้าเป็นนักรบต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่สั่งให้เพื่อนไปตาย ถ้าจะเดินหน้าต่อสู้ คุณต้องอยู่ในสนาม มีสิทธิ์ตายเท่ากับเขา คุณจึงมีสิทธิ์ที่จะพูด แต่ถ้าคุณพูดนอกสนามไปยุ แล้วใส่ร้ายผู้คนในสนามรบ คุณจะเป็นคนใช้ไม่ได้มากที่สุด ผมพูดอย่างนี้คนอยู่โซเชียลต่างๆรู้ว่า ผมพูดหมายถึงใคร หมายถึงอะไร” ประธานนปช.กล่าว.