นักวิชาการด้านความมั่นคง : ทางเลือกและทางรอดหลังกรณีสังหารหมู่

เมื่อวันที่ 9 ก.พ.2563 นายปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการ และประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของนายกรัฐมนตรีโพสต์เฟซบุ๊กโดยมีรายละเอียดดังนี้

ทางเลือกและทางรอดหลังกรณีสังหารหมู่

“การก่อเหตุร้ายเป็นวงกว้าง” หรือ“การสังหารหมู่” หรือการสังหารผู้คนเป็นจำนวนมากๆในครั้งเดียวกันนอกจากจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อครอบครัวผู้ที่สูญเสียแล้วยังส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจและความเชื่อมั่นของประชาชนโดยทั่วไปด้วยอีกทั้งยังอาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศในระยะยาวจึงจำเป็นจะต้องมีมาตราการที่เหมาะสมมาป้องกันหรือรองรับ

ในสหรัฐอเมริกาการสังหารหมู่โดยการใช้อาวุธปืนถือเป็นเรื่องใหญ่เพราะเกิดขึ้นทุกๆ12-13 วันจากการศึกษาของLankford ที่ไปศึกษาเหตุการณ์ใน171 ประเทศเมื่อปี2016 ซึ่งของอเมริกานับเป็นสัดส่วนกว่า30% เมื่อเทียบกับของทั้งโลก

ในประเทศไทยยังไม่มีการรวบรวมสถิติแบบเดียวกันและเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นที่โคราชก็ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ในสังคมไทยแต่เราก็มีความจำเป็นที่จะต้องถอดบทเรียนของเราเองและนำเอาบทเรียนของประเทศอื่นๆที่คล้ายกับเรามาปรับใช้อย่างรวดเร็วทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายแบบเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันขึ้นอีก

มาตรการของหลายๆประเทศที่น่าสนใจก็คือ

1. เร่งรัดยกระดับมาตรการการรักษาความปลอดภัยการควบคุมอาวุธปืนทั้งในเมืองในศูนย์การค้าและในชุมชนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยหรือเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในรูปแบบอื่นๆ 

2. เยียวยาผู้ที่สูญเสียและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างรวดเร็ว

3. บรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจสังคมและจิตวิทยาของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

4. เริ่มดำเนินการระยะยาวเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุรวมทั้งการปรับแนวทางการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนและการสื่อสารสมัยใหม่ของบุคคล

สิ่งที่พูดกันมากที่สุดเรื่องหนึ่งในเวลานี้ก็คือการสื่อสารในยามวิกฤตซึ่งJames Meindl และJonathan Ivy (ในวารสารAmerican Journal of Public Health เมื่อสามปีก่อน) ได้ชี้ให้เห็นว่าองค์การอนามัยโลก(World Health Organization-WHO) ได้ศึกษาเรื่องนี้มากว่า50 ปีแล้วและก็มีข้อแนะนำที่น่าสนใจว่า

1. ไม่ควรใส่อารมณ์ความรู้สึกเข้าไปในการรายงานข่าว

2. ไม่ควรพาดหัวข่าวใหญ่โตเกินไป

3. ไม่ควรด่วนสรุปว่าเป็นเพราะสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพราะในความเป็นจริงจะมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน 

4. ไม่ควรจะรายงานซ้ำๆหรือย้ำบ่อยๆ

5. ไม่ควรจะนำเสนอขั้นตอนการสังหารโดยละเอียดอันจะนำไปสู่การลอกเลียนแบบหรือการเรียนรู้ได้ง่าย

6. จำกัดการนำเสนอของรูปภาพและคลิปวีดิโอให้น้อยเพื่อลดผลกระทบลง

7. ระมัดระวังในการนำเสนอไม่ให้ผู้กระทำผิดถูกยกย่องชื่นชมหรือเป็นแบบอย่างรวมทั้งเรื่องการสังหารตัวเอง

ซึ่งข้อแนะนำดังกล่าวทางรัฐบาลอเมริกันโดยFBI ได้นำไปเป็นนโยบายในการสื่อสารชื่อว่า“อย่าไปเอ่ยชื่อเขา” (Don’t Name Them) และได้นำไปใช้ในกรณีที่อดีตเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเรือนจำชาวอเมริกันที่มีพ่อแม่อพยพมาจากอัฟกานิสถานได้สังหารคนที่มาเที่ยวไนต์คลับไป49 คนและบาดเจ็บอีก53 คนที่เมืองออร์แลนโดรัฐฟลอริดาเมื่อหลายปีก่อน

นอกจากนี้James Meindl และJonathan Ivy ยังได้มีข้อเสนอที่น่าสนใจในการสื่อสารอีก5 ประการคือ

1. สื่อสารให้เห็นถึงความน่าละอายการละเมิดศีลธรรมจรรยาบรรณความขลาดกลัวของมือสังหารซึ่งจะป้องกันไม่ให้ผู้ทำผิดถูกชื่นชมหรือยกย่อง

2. หลีกเลี่ยงการอธิบายเหตุผลของมือสังหารเพราะซับซ้อนและจะทำให้คนอื่นที่มีปัญหาคล้ายๆกันอาจเลือกแนวทางรุนแรงเป็นทางออกได้

3. ลดเวลาออกอากาศให้สั้นหรือให้พื้นที่การสื่อสารให้น้อยเพราะการให้เวลาหรือให้พื้นที่สื่อมากๆจะเป็นการให้รางวัลและเพิ่มสถานะทางสังคมของผู้ทำผิด

4. ควบคุมการให้ข่าวและการแถลงข่าวสดหลังเหตุการณ์ถึงแม้ว่าอาจจะมีความต้องการบริโภคข้อมูลเป็นอย่างมากเพราะจะทำให้เกิดความน่าสนใจหรือ“ความตื่นเต้น” เกินความจำเป็น

5. นำเสนอแต่ข้อเท็จจริงสั้นๆอย่าผลิตหรือทำซ้ำอะไรที่เป็น“ดราม่า” โดยเฉพาะไม่ควรพาดหัวว่า“Breaking News” เพื่อสร้างความเร้าใจเพิ่มขึ้น

6. ไม่ควรลำดับเหตุการณ์โดยละเอียดทั้งก่อนระหว่างและหลังการสังหารเพราะรายละเอียดเหล่านี้จะถูกนำไปลอกเลียนแบบได้ง่าย 

ทั้งหมดนี้สังคมไทยก็คงจะต้องพิจารณากันว่าอะไรจะเป็นทางเลือกอะไรจะเป็นทางรอดของเราจากความรุนแรงที่น่ารังเกียจและสมควรได้รับการประณามเช่นนี้.