บิ๊กองค์กรปชต.ผิดหวังนายกฯไม่ถอยคนละก้าว แต่จนท.คุกคามหนักขึ้น แนะรัฐสภาจสอบการละเมิดสิทธิ

นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่าตนเห็นว่าข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีที่ให้ถอยคนละก้าวไม่เป็นความจริง เพราะยังปรากฎการคุกคามแกนนำการชุมนุมคณะราษฎรอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยทั้งจับกุมโดยพลการและบุกคุกคามถึงโรงพยาบาลขณะเข้ารับการรักษาตัว มีการใช้หมายจับที่หมดอายุโดยไม่ยอมไปขอหมายศาลพิจารณาใหม่ มีการใช้อำนาจเจ้าพนักงานที่ขัดกับหลักกฎหมายรองรับและบังคับใช้กฎหมายตามอำเภอใจเพียงเพราะกลัวแกนนำไปนำม็อบ การยับยั้งหรือต่อต้านข่าวกรองต้องทำโดยกฎหมายรองรับ จะใช้อำนาจมิชอบไม่ได้ เพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

“ผมขอเสนอให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และกรรมาธิการต่างๆ ในสภาผู้แทนราษฎร สอบสวนเรื่องนี้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการซ้อมทรมานตามที่ผู้ต้องหาให้การว่าถูกทำร้ายร่างกายในรถขนส่งผู้ต้องขังและการคุกคามที่โรงพยาบาลแม้ผู้ต้องหาจะทำการรักษาพยาบาลอยู่ก็ตาม เพราะถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่และการใช้อำนาจละเมิดพันธสัญญาใดๆ ต้องแจ้งต่อเลขาธิการสหประชาชาติ และเรื่องนี้ผู้ต้องหาอาจดำเนินการฟ้องศาลได้ อย่าให้เหมือนกับกรณีตากใบที่เกิดการสูญเสียในระหว่างการสอบสวนจับกุม”

เลขาฯครป. กล่าวต่อไปว่า โดยเรื่องนี้ สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนและภาคประชาชนบางส่วนจะไปพบ ผบ.ตร. เพื่อปรึกษาหารือและหาทางออกร่วมกันในวันอังคารนี้ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาและอุปสรรคของทนายความในการปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ถูกจับกุมเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง รวมถึง ครป.จะจัดเวทีตั้งคำถามว่าปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองรัฐสภาจะหาทางออกร่วมกันได้อย่างไรในสัปดาห์หน้า

เนื่องจากถอยคนละก้าวหมายถึงนายกลาออก และรัฐสภาแก้ปัญหารัฐธรรมนูญและการปฏิรูปสถาบันต่างๆ หลายคนจึงผิดหวังกับการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญที่ยังไม่สามารถหาทางออกให้บ้านเมืองได้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกรรมาธิการปฏิรูปสถาบันและการตรวจสอบประเด็นต่างๆ เพื่อสร้างแนวทางปรองดองร่วมกัน ซึ่งรัฐบาลควรหยุดใช้กลไกรัฐระดมพลปกป้องสถาบันและแบ่งแยกประชาชนออกเป็นสองฝ่าย เพราะสถาบันจะถูกแยกออกจากประชาชนไม่ได้ และเป็นหน้าที่รัฐบาลในการปกป้องสถาบันอยู่แล้ว อย่าสร้างเงื่อนไขแบ่งแยกแล้วทำลายหากอยากเห็นลูกหลานมีอนาคตและคุณภาพชีวิตที่ดี

ปัจจุบันสังคมอยู่ในยุคตัวอักษรที่มีเสียง แม้จะส่งข้อความผ่านมือถือก็สามารถสร้างความขัดแย้งและความเกลียดชังได้ รัฐจึงไม่ควรส่งเสริมความเกลียดชังดังกล่าวโดยใช้การเมืองเลือกข้างและอารมณ์ที่แตกต่างระหว่างคนต่างรุ่น รัฐควรส่งเสริมให้มีการพูดความจริงซึ่งเป็นสัจธรรมและความงาม ส่วนข้อเท็จจริงคือสิ่งที่ต้องตรวจสอบ เนื่องจากในสื่อออนไลน์เต็มไปด้วยข่าวลวงและข่าวลือ ทั้งจากปฏิบัติการข่าวสารและกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองที่ต้องการสร้างความขัดแย้ง เพื่อโน้มน้าวจิตใจคนและสร้างพฤติกรรมมนุษย์ให้ตอบสนองในระดับต่างๆ โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในสงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งปัจจุบันมีความซับซ้อนขึ้น เนื่องจากความหมายของการโฆษณาชวนเชื่อนั้น คือความพยายามอย่างเป็นระบบเพื่อปลูกฝังความคิดเห็นอย่างเป็นระบบ เบี่ยงเบนกระบวนการรับรู้และพฤติกรรม เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมีปฏิกิริยาตอบสนองตามที่แสดงกำหนด

“เรื่องได้จึงสร้างความแตกต่างจากการรับรู้ของคนระหว่างรุ่นในครอบครัวขึ้น บางคนอาจถูกหล่อหลอมด้วยการโฆษณาชวนเชื่อมาตลอดชีวิตและเกิดความขัดแย้งระหว่างปริทรรศน์ใหม่ ซึ่งแก้ปัญหาไม่ได้ด้วยการพยายามทำความเข้าใจอย่างเดียว แต่แก้ปัญหาได้ด้วยความรักที่มีต่อกันในครอบครัวและในสังคม ไม่เช่นนั้นคงจบด้วยสงครามความเกลียดชังและความรุนแรง”เลขาฯครป.กล่าว