ประชาธิปัตย์แตกยับ ‘สาธิต’ ยื่นหนังสือจี้เชือด 16 สส.งูเห่าโหวต ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯ

เมื่อ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา นายสาธิต ปิตุเตชะ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) พร้อมนายไชยวัฒน์ ไตรยสุนันท์ อดีตสส.พรรคปชป. น.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ รักษาการกรรมการบริหาร(กก.บห.)พรรค ยื่นหนังสือถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคปชป. เพื่อขอให้ลงโทษผู้มีพฤติกรรมทำผิดข้อบังคับพรรคอย่างร้ายแรง ด้วยการเป็นปฏิปักษ์กับพรรคด้วยการฝ่าฝืนมติคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุมสส.ของพรรคทำให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียงและสร้างความแตกแยกในพรรค โดยระบุว่านายสาธิต ในฐานะกก.บห.พรรครวมทั้งสมาชิกพรรคปชป.อีกจำนวนหนึ่ง พบสส.ปชป.กระทำความผิดฝ่าฝืนข้อ 18 (1) และ (2) และข้อ 124 ของข้อบังคับพรรค พ.ศ. 2566 และจรรยาบรรณพรรคโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1.นายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช รวมถึง สส. ของพรรคและคนอื่นๆรวมทั้งสิ้น 16 คน ลงมติในที่ประชุมรัฐสภาขัดกับมติของกก.บห.พรรคและที่ประชุม สส.

โดยเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2566 ก่อนวันประชุมร่วมกันของรัฐสภากำหนดการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีนั้น พรรค ปชป. ได้มีมติของที่ประชุม สส. ว่าให้ สส. ของพรรค ปชป. ลงมติงดออกเสียง ต่อมา เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2566 ที่ประชุมร่วมกับของรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ปรากฎข้อเท็จจริงว่ามี สส. ของพรรค ปชป. ได้แก่ นายเดชอิสม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช รวมถึง สส. ของพรรคอีกรวม16 คนโหวต “เห็นชอบ” เลือกนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

ต่อมา เมื่อวันที่ 24 ส.ค.นายเดซอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส. ของพรรคทั้ง 16 คนได้ออกมาแถลงการณ์ต่อสื่อในลักษณะทำให้พรรคได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้พรรคเกิดความแตกแยกสามัคคีภายใน การกระทำของนายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึงกลุ่มสส.16 คน ซึ่งเป็นการทำขัดมติของพรรค เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรค และกระทำความผิดข้อบังคับพรรคอย่างร้ายแรง เพราะตามข้อบังคับพรรคสส.ของพรรคซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับพรรค

สำหรับเนื้อหาในหนังสื่อ ระบุว่ากระผมนายสาธิต ปิตุเตชะ ในฐานะกรรมการบริหารพรรครวมทั้งสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีกจำนวนหนึ่ง พบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค ปชป. (“สส.”) กระทำความผิดฝ่าฝืนข้อ 18 (1) และ (2) และข้อ 124 ของข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ พ.ศ. 2566 (“ข้อบังคับพรรคฯ”)และจรรยาบรรณพรรค ปชป. โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1 . นายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช รวมถึง สส. ของพรรค ปชป.อื่นๆรวมทั้งสิ้น 16 คนลงมติในที่ประชุมรัฐสภาขัดกับมติของคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. โดยไม่

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2566 ก่อนวันประชุมร่วมกันของรัฐสภากำหนดการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีนั้น พรรค ปชป. ได้มีมติของที่ประชุม สส. ว่าให้ สส. ของพรรค ปชป. “ลงมติงดออกเสียง” ต่อมา เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ที่ประชุมร่วมกับของรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ปรากฎข้อเท็จจริงว่ามี สส. ของพรรค ปชป. ได้แก่

นายเดชอิสม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช รวมถึง สส. ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คนออกเสียง “เห็นชอบ” ต่อการเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต่อมา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 นายเดซอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช รวมถึง สส. ของพรรค ปซป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คนออกเสียง “เห็นชอบ” ต่อการเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยนั้นได้ออกมาแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะที่ทำให้พรรค ปชป. ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้พรรค ชป. เกิดความแตกแยกสามัคคีภายใน การกระทำของนายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช รวมถึง สส. ของพรรคประชาธิปัตย์อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดมติของพรรค ปชป. เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรค ปชป. และกระทำความผิดข้อบังคับพรรคฯ อย่างร้ายแรง เนื่องจากตามข้อบังคับพรรคฯ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคปชป. ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคจะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับพรรคฯ ดังนี้

ข้อ 18 ระบุว่า “สมาชิกมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้

(1) ปฏิบัติตามกฎหมายข้อบังคับพรรค และมติคณะกรรมการบริหารพรรค

(2) รักษาชื่อเสียงของพรรคโดยไม่ปฏิบัติไปในทางที่จะนำความเสื่อมเสียมาสู่พรรค…”

ข้อ 96 ระบุว่า “ให้ที่ประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้น เป็นผู้ลงมติว่าจะจัดตั้งรัฐบาลหรือร่วมรัฐบาลหรือถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลหรือไม่”

ข้อ 115 ระบุว่า “นอกเหนือไปจากการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและข้อบังคับตามหมวด 4 ว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมของสมาชิกแล้ว ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องปฏิบัติตามวินัย
ดังต่อไปนี้ …(6) ห้ามดำเนินการอื่นใดอันอาจจะนำความเสื่อมเสียมาสู่พรรค…”.

ข้อ 124 ระบุว่า “การลงโทษสมาชิกผู้ถูกกล่าวหาให้พ้นจากสมาชิกภาพจะกระทำได้ต่อเมื่อปรากฎว่าสมาชิกผู้นั้นกระทำการให้พรรคเสียหายอย่างร้ายแรง หรือทำให้เกิดการแตกแยกสามัคคีภายในพรรค หรือผู้ถูกกล่าวหาได้ฝ่าฝืนข้อบังคับพรรคหรือจรรยาบรรณของพรรค มติหรือคำสั่งของคณะกรรมการบริหารพรรค…”

2. การกระทำของนายเดชอิศฆ์ ขาวทอง สร้างความเสียหายต่อพรรค ปชป. อย่างร้ายแรงนอกจากการกระทำความผิดของนายเดชอิศม์ ขาวทองในข้อ 1. ข้างต้นแล้ว นายเดชอิศม์ ขาวทอง ยังกระทำการสร้างความเสียหายต่อพรรคอย่างร้ายแรงด้วยการพูดจาไม่น่าเชื่อต่อสาธารณชน พูดกลับกลอกไม่มีความจริง โดยมีรายละเอียดดังนี้

2.1 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 นายเดชอิศม์ ขาวทองได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนกล่าวว่าตนไม่ได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพบนายทักษิณเพียงแต่ไปฮ่องกงเพื่อแก้บนให้แก่ภรรยาเท่านั้น นายเดชอิศม์ ขาวทอง ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “สัปดาห์ที่ผ่านมาตนได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อแก้หลายประเทศรวมทั้งในประเทศไทยบนเนื่องจากได้บนไว้ให้ภรรยาชนะการเลือกตั้ง ส่วนได้ไปพบนายทักษิณหรือไม่ ตนไม่ขอพูดดีกว่า” และยังพูดถึงเรื่องการร่วมรัฐบาลต่อไปอีกว่า “สส.ในกลุ่มของนายเดชอิศม์ จะไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย นายเดชอิศม์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับมติพรรค และการจะร่วมรัฐบาลหรือไม่จะเป็นมติของคณะกรรมการบริหารพรรค ชุดที่มีอยู่ รวมกับ สส.ปัจจุบัน เหมือนปี 2562 ที่มีการเถียงกัน 1 วัน 1 คืน สุดท้ายมีมติ 61 ต่อ 16 ให้ร่วมรัฐบาล ถ้าไปก็ไปทั้งพรรค และยืนยันจะไม่มีใครฉีกมติพรรค และไม่มีงูเห่าจากพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน ภายใต้มติของกรรมการบริหารพรรค”

2.2 แต่ทว่า ต่อมา เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2566 นายเดชอิศม์ ขาวทอง ได้ให้สัมภาษณ์ กับคุณอาร์ท เอกรัฐ ในโทรทัศน์ช่อง PP TV ซึ่งยอมรับว่าตนได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพบนายทักษิณและพูดคุยถึงการร่วมรัฐบาลจริง ในรายการมีการพูดถึงแนวทางการร่วมจัดตั้งรัฐบาลตอนหนึ่งว่า “จริงๆ หลักของประชาธิปัตย์ การร่วมรัฐบาลตนคิดคนเดียวไม่ได้ โดยหลักแล้ว 1.ต้องเทียบเชิญก่อน 2.กรรมการบริหารพรรคประชุมร่วม สส.25 คน รวม 52 คน ซึ่งการประชุมนี้ส่วนใหญ่ว่าอย่างไรถือเป็นมติพรรค” และกล่าวยอมรับว่าตนได้เจอนายทักษิณที่ฮ่องกงจริงเมื่อโดนถามว่าไปฮ่องกงไหมจึงตอบว่า “ไป ซึ่งเป็นช่วงวันเกิดนายทักษิณพอดี

ส่วนเจอนายทักษิณหรือไม่ นายเดชอิศม์ กล่าวว่า เจอครับ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ตนไม่อยากพูดเพราะกลัวว่านายทักษิณ หรือใครก็ตามจะเสียหาย ซึ่งนายทักษิณสนิทสนมกับตนส่วนตัว เพราะตนเคยลงสมัครพรรคไทยรักไทยปี 2548 ซึ่งตนก็ไม่มีความแค้นส่วนตัวกับใครอยู่แล้ว” และยังกล่าวต่อไปอีกว่า “ส่วนตัวผมจริงๆ ผมอยากให้ร่วมรัฐบาล เพื่อแนวคิดของเราอยากแก้ปัญหาประชาชนจะแก้ได้”

ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริง พรรค ปชป. ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล และพรรค ปชป. ก็ไม่เคยมีมติเข้าร่วมรัฐบาลในครั้งนี้กับพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นๆ แต่อย่างใด ซึ่งหากพรรค ปซป. จะเข้าร่วมรัฐบาลนั้นจะต้องมีมติพรรคจัดตั้งรัฐบาลหรือเข้าร่วมรัฐบาล และจะต้องมีการแต่งตั้งบุคคลกลุ่มหนึ่งเพื่อเข้าร่วมการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลดังกล่าว ไม่ใช่เป็นกรณีดังเช่นนายเดศอิศม์ ขาวทอง จะสามารถดำเนินการเจรจาโดยการตัดสินใจเพียงลำพัง

ด้วยเหตุนี้ การกระทำของนายเดศอิศม์ ขาวทอง จากข้อเท็จจริงในข้อ 2.1 และ 2.2 ข้างต้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่านายเดศอิศม์ ขาวทอง พูดจากลับไปกลับมา และการเข้าไปพูดพบนายทักษิณเพื่อพูดคุยเรื่องการร่วมรัฐบาลนั้นทำให้พรรค ปชป. เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง และสร้างความไม่น่าเชื่อถือต่อประชาชนเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วนายเดศอิศม์ ขาวทอง ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค ปชป. พึงดำรงตนปฏิบัติตามข้อบังคับ พรรคฯ และมติของพรรค ปชป. รวมถึงจรรยาบรรณของพรรค ปชป. อย่างเคร่งครัดเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ประชาชนและสมาชิกพรรคคนอื่น ดังนั้น การกระทำของนายเดศอิศม์ ขาวทอง จึงเป็นเหตุสมควรให้ได้รับการลงโทษตามข้อ 124 ของข้อบังคับของพรรคฯ

3. นายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช เคยกล่าวว่า ต้องทำตามมติพรรค แต่ต่อมาตนกับพวกกลับกระทำการฝ้าฝืนมติพรรคอย่างชัดเจน เป็นการพูดไม่ตรงกับการกระทำ ไม่รักษาสัจจะ ไม่รักษาชื่อเสียงพรรค ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในพรรคและทำให้พรรคได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ตามที่ก่อนหน้านี้ นายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช เคยกล่าวว่า สมาชิกพรรคทุกคนจะต้องทำตามมติพรรคหากใครลงคะแนนเสียงขัดมติพรรคจะต้องลาออก แต่ทว่าต่อมา ตนและพวกกลับดำเนินการลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีผ้าฝืนมติพรรคโดยการลงคะแนนเสียงเห็นชอบให้นายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการพูดไม่ตรงกับการกระทำ ไม่รักษาสัจจะ ไม่รักษาชื่อเสียงพรรคทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในพรรค ปชป. และอุดมการณ์ของพรรค ปชป. ซึ่งกรณีเป็นเหตุให้พรรคปชป. ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง

นอกจากนี้ การกระทำทั้งหมดดังที่ได้เรียนข้างต้นของนายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช กับ สส. ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ทำให้เห็นว่า เจตนาของ สส.ทั้งหมดในการแหกมติเป็นการส่อให้เห็นว่าอยากร่วมรัฐบาล แม้ว่าพรรค ปชป. จะไม่ได้มีมติให้เข้าร่วม ยิ่งเป็นการตอกย้ำและทำให้ประชาชนเสื่อมความศรัทธาและความนิยมต่อพรรค ปชป. อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อพรรคอย่างร้ายแรง

ด้วยเหตุนี้ จากข้อเท็จจริงและเหตุผลดังที่เรียนในข้อ 1 ถึงข้อ 3 ข้างต้น การกระทำของนายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช รวมถึง สส. ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คนลงมติเห็นชอบให้แต่งตั้งนายเศรษฐา ทวีสิน ผู้ถูกเสนอชื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยนั้นฝ่าฝืนมติของคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. เนื่องจากพรรค ปชป. ไม่เคยมีมติหรือเห็นชอบในการเข้าร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด และพรรค ปชป. ก็ได้มีมติอย่างชัดเจนว่าจะลงคะแนนเสียงในการให้ความเห็นชอบบุคลชื่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

ฉะนั้น จากข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว นายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช รวมถึง สส. ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คนเป็นการกระทำโดยเจตนาไม่สุจริต จงใจกระทำการฝ้าฝืนกับข้อบังคับพรรคฯ ด้วยการฝ่าฝืนมติของคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. อีกทั้งเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์กับพรรค ชป. ทำให้เกิดการแตกแยกสามัคคีภายในพรรค ปชป. และทำให้พรรค ปชป. ที่มีอุดมการณ์มั่นคงมาเป็นระยะเวลาเนิ่นนานนั้นได้รับความเสื่อมเสียชื่อเสียง เสื่อมศรัทธาและคะแนนนิยมของประชาชน ทำให้พรรค ปชป. ได้รับความเสียหายร้ายแรงอย่างชัดเจนจึงเป็นการกระทำความผิดข้อบังคับข้อ 18, 96, 115 และ 124

ด้วยเหตุผลดังที่เรียนไว้ในข้างต้นนี้ ขอให้รักษาการหัวหน้าพรรค ปชป. ตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนการกระทำความผิดดังกล่าวโดยเร็วที่สุดและดำเนินการลงโทษ นายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช รวมถึง สส. ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คนที่กระทำการผิดข้อบังคับพรรคฯ ฝ่าฝืนมติคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. และทำให้พรรค ปซป. ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับพรรคฯ ด้วย