‘สามมิตร’ หนุน ‘บิ๊กตู่’ นั่งเก้าอี้นายกฯต่อ โต้เดินสายหาเสียงยังไม่เปิดตัวผู้สมัคร

เมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่ศูนย์ประสานงานกลุ่มสามมิตร ต.โคกสูง อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายอุดม ผลาทิพย์ อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 พร้อมด้วยชาวนาจากหลายหมู่บ้านของตำบลหนองหลัก อ.ชุมพวง จ.นครราชสีมา จำนวนกว่า 20 คน ซึ่งเป็นตัวแทนชาวนาต.หนองหลัก กว่า 1,000 คน ได้เข้าร้องเรียนและยื่นหนังสือต่อนายภิรมย์ พลวิเศษ เลขากลุ่มสามมิตร กรณีถูกนายอำเภอชุมพวง จ.นครราชสีมา มีหนังสือแจ้งขับไล่ให้ออกจากที่นาของตนเองที่เคยทำกินมาก่อนหน้านี้ทั้งๆที่เป็นที่นาของตนเองซึ่งปู่ย่าตายายเคยทำกินมาเป็นเวลานานกว่า 110 ปี เนื้อที่ประมาณ 4000 กว่าไร่ โดยทางการระบุว่าเป็นที่สาธารณะประโยชน์ มิหนำซ้ำยังถูกทางราชการแจ้งความจับกุมดำเนินคดีอีกด้วย ซึ่งกลุ่มชาวนาได้ขอร้องให้นายภิรมย์ฯส่งเรื่องความเดือดร้อนดังกล่าวถึงมือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีโดยด่วน เนื่องจากชาวนาที่ถูกนายอำเภอชุมพวงขับไล่เป็นหนี้ ธ.ก.ส.และหนี้นายทุนนอกระบบ กำลังถูกฟ้องเพราะไม่มีเงินไปชำระค่าดอกเบี้ยซึ่งหลายคนก็ไม่มีทางออกจึงคิดที่จะฆ่าตัวตายก็มี

นายภิรมย์ กล่าวว่า ตนขอร้องไปถึงนายกรัฐมนตรีให้สั่งการส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยชาวนาที่เดือดร้อนกลุ่มนี้ด่วน เนื่องจากเขาไม่มีอาชีพนอกจากการทำนาเท่านั้น ขาดรายได้ เดือดร้อนลำบากมาก จะหาทางออกอย่างไรให้ชาวบ้านได้ทำนาหารายได้และมีข้าวกินไม่ใช่มาแจ้งความจับกุมดำเนินคดีกับชาวบ้านอย่างนี้

นายภิรมย์ กล่าวถึงการเดินทางไปรับฟังปัญหาของชาวบ้านในเขตภาคเหนือของกลุ่มสามมิตรว่า ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีและกลุ่มสามมิตรก็ได้รับฟังปัญหาและจะนำเสนอต่อรัฐบาล เช่น ที่อ.ด่านลานหอย จ.สุโขทัย มีชาวบ้านถูกป่าไม้ขับไล่ออกจากที่ทำกินกำลังเดือดร้อนหนักเช่นกัน อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ แพทย์และพยาบาล มีจำนวนน้อยต้องรักษาคนป่วนเดือนละเป็นแสนกว่าคน เครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ก็มีจำกัด อาคารโรงพยาบาลก็คับแคบไม่พอเพียง  รัฐก็ควรเร่งจัดสรรงบประมาณจัดสร้างอาคาร ซื้อเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ และจัดอัตราแพทย์ พยาบาลเพิ่มเป็นการด่วนเพื่อแก้ปัญหา  ส่วนที่อ.พะยุหคีรี จ.นครสวรรค์ ชาวนาต้องการให้ราคาข้าวนาปรังที่ตันละ 8,000 บาท จึงจะอยู่รอด ซึ่งกลุ่มสามมิตรจะนำเสนอต่อรัฐบาลต่อไป

เมื่อถามถึงการที่นายภิรมย์เดินทางไปพบกับชาวบ้านที่อ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ ซึ่งถูกโจมตีว่าเป็นการไปเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.และมีการปราศรัยหาเสียงด้วยนั้นข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายภิรมย์ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงตนได้รับเชิญให้ไปพบกับชาวไร่อ้อยที่เดือดร้อนเนื่องจากโรงงานรับซื้ออ้อยปีนี้เพียงตันละ 300 บาท ชาวไร่อ้อยขาดทุนอยู่ไม่ได้ บางคนถึงกับกินยาฆ่าตัวตาย  ซึ่งตนได้ไปรับฟังปัญหาและรับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวและมีการพบปะผ่านเครื่องขยายเสียงเพราะมีคนมากันมาก เขาก็คาดหวังว่าตนเองจะช่วยเขาได้และตนปฏิเสธว่าไม่ได้ขึ้นรถแห่ รถที่ตนไปยืนพูดเป็นรถเครื่องเสียงและไม่ได้มีการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.แต่อย่างใด

“การที่ตนถูกโจมตีดังกล่าวไม่ทำให้กลุ่มสามมิตรท้อถอย และจะยังคงเดินหน้าแสวงหาปัญหาของประชาชนเพื่อผลักดันให้รัฐบาลมีการแก้ไขความเดือดร้อนต่อไป ซึ่งตนไม่หวั่นไหวหรือวิตกกังวลใดๆ เพราะตนไม่ได้ไปหาเสียงแต่ไปรับฟังปัญหาของประชาชนและไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายหรือฝืนคำสั่งของ คสช.แต่อย่างใด”นายภิรมย์ กล่าวและว่า จุดยืนของกลุ่มสามมิตรยังคงสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปแน่นอน