‘ปิยบุตร-เลขาฯพรรคอนาคตใหม่’ ชง 3 มาตรการป้องกันการรัฐประหาร

นายปิยบุตร แสงกนกกุล แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ได้โพสต์เฟซบุ๊กโดยมีรายละเอียดดังนี้

ปิยบุตร อภิปรายญัตติขอให้ตั้ง กมธ. ศึกษาแนวทางป้องกัน #รัฐประหาร เสนอ 3 มาตรการป้องกันการรัฐประหารในประเทศไทย

ปิยบุตร แสงกนกกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ #พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดการรัฐประหารขึ้นอีกในอนาคต ซึ่ง ปิยบุตร และ ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ เป็นผู้เสนอญัตติเข้าสภา ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2562 และได้เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาเมื่อวานนี้ วันที่ 6 ก.พ. 2563

ปิยบุตร อภิปรายว่า ประเทศไทยมีการรัฐประหารทั้งหมด 13 ครั้ง โดย 12 ครั้งเกิดจากกองทัพ มีครั้งเดียวเมื่อสมัยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ที่เกิดจากนายกรัฐมนตรีตราพระราชกฤษฎีกาที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และยึดสภาเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

การรัฐประหารในประเทศไทย 12 ครั้งเป็นการยึดอำนาจการปกครอง มีเพียงหนึ่งครั้งที่ยึดอำนาจเพื่อสถาปนาเอารัฐธรรมนูญ 2475 กลับมาใช้ใหม่ คือยึดเพื่อนำ ระบบรัฐธรรมนูญกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

เราเข้าสู่วัฏจักรเดิมๆ หลังการยึดอำนาจแต่ละครั้ง เมื่อนายทหารเข็นรถถังออกมา ก็จะไปยึดสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ยึดสถานที่สำคัญ แล้วตั้งโต๊ะแถลงข่าวกันว่า “บัดนี้ ยึดอำนาจไว้หมดแล้ว ขอให้อยู่ในความสงบ แล้วก็กระทำการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง ปกครองประเทศโดยไร้รัฐธรรมนูญ”

ผ่านไปสักพักก็จะมี รัฐธรรมนูญชั่วคราว ออกมา ซึ่งก็จะให้อำนาจคณะรัฐประหาร สืบทอดอำนาจต่อไป เพื่อทำรัฐธรรมนูญถาวร เป็นเครื่องมือในการสืบถอดอำนาจ

หากลองพิจารณาวัฏจักรนี้ เราเข้าสู่ประชาธิปไตยตั้งแต่ 2475 ปีนี้เราก็จะเข้าสู่ปีที่ 88 แต่ปรากฏว่า เรามีชีวิตอยู่กับ รัฐธรรมนูญชั่วคราว อยู่กับระบบรัฐประหาร มากกว่าการมีชีวิตอยู่ในระบบประชาธิปไตยเสียอีก ดังนั้นนี่คือปัญหาเรื้อรังของประเทศไทย”

จนนักรัฐศาสตร์เรียกว่า “วงจรอุบาทว์” ของการที่ทหารออกมายึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ ใช้ รัฐธรรมนูญชั่วคราว เขียนรัฐธรรมนูญถาวร เลือกตั้ง ประคองกันไปสักพัก เกิดวิกฤติ ก็ยึดอำนาจใหม่ วนกันอยู่แบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พี่น้องประชาชนจำนวนมากใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ จนเริ่มมีความรู้สึกว่ารัฐประหารเป็นยาสามัญประจำบ้าน เวลาปวดหัวก็ไปซื้อพาราเซตามอล เวลามีวิกฤติก็ไปเรียก รัฐประหารออกมา

ทั้งๆ ที่รัฐประหารเป็นอาชญากรรมสูงสุดต่อแผ่นดิน เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการพัฒนาประชาธิปไตย เป็นเรื่องแปลกประหลาด แต่ ณ วันนี้เรากลับรู้สึก “Normalization of Coup d’etat” คือทำให้การรัฐประหารเป็นเรื่องปกติ อยู่ๆ กันไป เดี๋ยวก็มาอีก มาเมื่อใดก็แยกย้ายกลับบ้านไปพักผ่อน รอลงเลือกตั้งกันใหม่ แล้วกลับมาอีก

นี่คืออาการที่เราอยู่กับการรัฐประหารจนคุ้นชินไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่มันเป็น “อนันตริยกรรม”

เรามักจะบอกว่า รัฐประหาร เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขวิกฤติทางการเมือง เมื่อหาทางออกไม่ได้ เมื่อมีความแตกแยกของคนในชาติ เมื่อมีการกล่าวอ้างว่านักการเมืองเป็นคนไม่ดี ด้วยเหตุเหล่านี้จึงจะต้องมีการทำรัฐประหาร

จนถึงขั้นว่ารัฐประหารต้องเกิดขึ้นเพราะคนไทยยังไม่รู้จักประชาธิปไตยดีพอ เพราะคนไทยปกครองกับในระบอบประชาธิปไตยเองไม่ได้ ต้องให้ทหารเข้าจัดตั้งรูปแบบการปกครองให้ใหม่ทุกครั้งไป

ความเชื่อแบบนี้เป็นมายาคติ ที่ทำให้การรัฐประหารเป็นเรื่องปกติ จะเกิดอีกสักครั้งก็ไม่เป็นไร

ในความเป็นจริงแล้ว การรัฐประหารตลอด 88 ปี หลังสถาปนาระบอบประชาธิปไตย แต่ละครั้งเป็นการตัดตอนพัฒนาการของประชาธิปไตย และส่งผลร้ายระยะยาวมากมายต่อสังคมไทย

นอกจากนี้ปิยบุตรได้เสนอวิธีการตัดวงจรอุบาทว์ของการรัฐประหารออกไปจากประเทศไทย โดยดูจากแนวทางการป้องกันการรัฐประหาร จากการศึกษากฎหมายไทย กฎหมายต่างประเทศ และงานวิจัยเกี่ยวกับประเทศที่เกิดรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางประเทศมากกว่าประเทศไทยเสียอีก แต่วันนี้ประเทศเขาไม่มีการรัฐประหารเกิดขึ้นแล้ว แม้มีวิกฤติการเมือง ก็จะไม่มีการเรียกทหารออกมายึดอำนาจอีก ทหารก็อยู่แต่ในกรมกองเป็นทหารมืออาชีพ พบว่ามาตรการป้องกันการ รัฐประหารให้เด็ดขาดมีอยู่หลากหลายวิธีได้แก่

มาตรการที่ 1 “การปฏิรูปกองทัพให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย”

มาตรการที่ 2 “มาตรการทางรัฐธรรมนูญและมาตรการในทางกฎหมาย”

มาตรการที่ 3 “มาตรการระหว่างประเทศ”

แต่สิ่งที่จะเป็นยารักษา ยาที่จะกำจัดไม่ให้รัฐประหารเกิดขึ้นในประเทศไทยอีก ไม่ใช่มาตรการทางกฎหมายหรือการปฏิรูปกองทัพเท่านั้น แต่คือการสร้างความคิด ความเชื่อ และจิตสำนึกแบบใหม่ให้กับประชาชน นักการเมืองไทย ส.ส. และข้าราชการทั้งหมด

ถ้าหากวันหนึ่งมีการรัฐประหารเกิดขึ้น แต่ประชาชน นักการเมือง ข้าราชการ สื่อมวลชน พร้อมใจกันต่อต้านคณะรัฐประหาร เขาก็เชื่อว่ามันจะไม่สำเร็จ

ความสำคัญอยู่ที่ว่าต้องกำจัดมายาคติเดิมๆ ออกไปจากพี่น้องประชาชนคนไทยให้ได้ว่า “รัฐประหารคือยาวิเศษ รัฐประหารคือเรื่องปกติในสังคมไทย”

เราต้องคิดว่า รัฐประหารเป็นเรื่องผิด เป็นเรื่องที่ในฐานะพลเมืองคนไทยทั้งหลายต้องออกไปต่อต้านไม่ให้เกิดขึ้นอีก ถ้าไม่คิดว่าสู้เพื่อตัวเอง ต้องคิดว่าสู้เพื่อลูกหลาน สู้เพื่ออนาคตประเทศไทย เพื่อไม่ให้ประเทศไทยกลับมามีรัฐประหารอีก

ปิยบุตร สรุปจบการอภิปรายว่า “สภาผู้แทนราษฎร ณ เวลานี้ เป็นเพียงองค์กรเดียวที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีแต่พวกเราเท่านั้นที่อยู่ในสภาแห่งนี้ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีแต่พวกเราที่อยู่ในสภาแห่งนี้เท่านั้น ที่เป็นผู้แทนของราษฎรอย่างสมเกียรติ มีศักดิ์ศรีเต็มภาคภูมิ เพราะประชาชนเลือกเรามา

ดังนั้นการเสนอญัตติขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการป้องกันการรัฐประหาร ในสภาผู้แทนราษฎรแห่งนี้ ก็เพื่อจะเปิดโอกาสอันดียิ่งให้ผู้แทนราษฎรในสภาแห่งนี้ ได้พินิจพิจารณาและตัดสินใจร่วมกันว่าพวกเรามีจุดยืนกับรัฐประหารอย่างไร

พวกเราพร้อมจะป้องกันรัฐประหารไม่ให้เกิดขึ้นอีกอย่างไร อย่างน้อยก็เป็นสัญลักษณ์สำคัญว่า วันนี้สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 ปักธงขึ้นแล้วว่า เราจะร่วมกัน ศึกษาหาแนวทางป้องกันการรัฐประหาร”