‘ส.ส.เป้-เสรีรวมไทย’ ลั่นประชาธิปไตย จะไม่เกิดขึ้น หากนักการเมืองยังซื้อเสียงกันเหมือนทุกวันนี้

แฟ้มภาพ

นางสาวนภาพร เพ็ชร์จินดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อ 24 มิ.ย.2563 โดยมีรายละเอียดดังนี้

หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการผลักดันแนวคิดเรื่อง “รวมไทยสร้างชาติ” จริง ก็ควรพูดคุยกับ สว.ให้ยอมรับความจำเป็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน เพราะเป็นต้นตอของปัญหาหลายอย่างอยู่ในขณะนี้ต้องยอมรับความจริงว่า ที่ การเมืองมีปัญหา ประชาธิปไตยอ่อนแอ เป็นเพราะกติกาในรัฐธรรมนูญปี 60 ที่เครือข่าย พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ร่างขึ้นมาเองเพียงเพราะหวังใช้การเลือกตั้ง เป็นบันไดสืบทอดอำนาจ

ดังนั้น หาก พล.อ.ประยุทธ์ต้องการเป็นรัฐบาล New Normal หรือต้องการรวมไทยสร้างชาติจริง ก็ต้องยอมรับความจำเป็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาทั้งปวงอยู่ในขณะนี้ โดยต้องเริ่มจากการพูดคุยกับวุฒิสมาชิกหรือ สว.ที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้แต่งตั้งด้วยตัวเอง ให้ยอมรับความจำเป็นเสียก่อน เพราะหาก สว.ไม่ให้ความร่วมมือ ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ หาก พล.อ.ประยุทธ์แสดงความจริงใจให้สังคมได้เห็น คนก็จะเชื่อว่าท่านเอาจริงเรื่อง”รวมไทยสร้างชาติ” แต่ถ้าท่านไม่ทำ คำดังกล่าวก็คงเป็นเพียงแค่วาทกรรมเอาไว้ใช้กลบเกลื่อนปัญหาเศรษฐกิจ

“ไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 บัดนี้ก็ผ่านมา 88 ปีแล้ว แต่ระบอบประชาธิปไตยก็ยังไปไม่ถึงไหน เหตุที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะ หากผู้นำกองทัพคนไหนอยากเป็นนายกฯ แต่ไม่อยากลงเลือกตั้ง ก็รัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วร่างขึ้นมาใหม่ เขียนกติกาชนิดที่ว่าตัวเองได้เป็นนายกฯแน่ๆ จากนั้นก็เป็นรัฐบาลไปจนกว่าคนจะเบื่อหรือออกมาขับไล่เพราะแก้อะไรไม่ได้จริง ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ แล้วจะให้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบได้อย่างไร”

ตอนนี้ทุกฝ่ายเห็นปัญหาที่เกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้ว มีแต่ พล.อ.ประยุทธ์ที่ยังมองไม่เห็น หรืออาจแกล้งมองไม่เห็นก็ได้ เพราะคิดว่าฝ่ายตัวเองยังได้ประโยชน์ แต่หากท่านต้องการผลักดันแนวคิดรวมไทยสร้างชาติจริง ก็ควรรับฟังความเห็นคนส่วนใหญ่ ที่ต้องการให้มีการตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นที่ยอมรับ เพราะหาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมให้แก้ ก็จะมีนักเรียนนิสิตนักศึกษาประชาชนออกมาเรียกร้องอยู่ดี เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในรอบ 88 ปีที่ผ่านมา จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ทบทวนอีกครั้ง ก่อนที่ปัญหาการเมืองจะซ้ำเติมเศรษฐกิจมากกว่านี้.