กรมสุขภาพจิตห่วงวิถีคนเมืองใช้ชีวิตเร่งรีบ มีโอกาสเสี่ยงคิดสั้นเหตุขาดยั้งคิด

นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่าวันที่ 10 กันยายนทุกปี เป็นวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก (World suicide prevention day) โดยทั่วโลกมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จปีละประมาณ 800,000 คน เฉลี่ย 1คนในทุกๆ 40 วินาที มากกว่าตายจากสงครามและถูกฆ่าตายรวมกัน เกือบร้อยละ 80 อยู่ในประเทศรายได้ต่ำ-ปานกลาง องค์การอนามัยโลกตั้งเป้าจะลดอัตราการเสียชีวิตลงร้อยละ 10 ภายในปีพ.ศ.2563

ส่วนสถานการณ์ของประเทศไทย ทีมวิชาการได้ประมาณการว่าแต่ละปี มีผู้พยายามทำร้ายตัวเองเพื่อฆ่าตัวตายประมาณ 53,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน กระจายอยู่ทุกชุมชน ส่วนใหญ่เป็นวัยแรงงาน ในปี 2559 มีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จจำนวน 4,131 คน เป็นชายมากกว่าผู้หญิง 4 เท่าตัว อายุต่ำสุด 10 ปี สูงสุด 100 ปี ส่วนใหญ่เป็นโสด ประเทศต้องสูญเสียเศรษฐกิจปีละกว่า 400 ล้านบาท ข่าวการฆ่าตัวตายแต่ละครั้งกระทบต่อความมั่นคงและปลอดภัยในจิตใจแต่ละคน โดยเฉพาะกับคนใกล้ชิด

ต้นเหตุที่มักพบได้บ่อยที่สุดมาจาก 5 เรื่องคือ ความสัมพันธ์บุคคล สุรา ยาเสพติด สังคม และเศรษฐกิจ ในผู้ชายมักมีปัจจัยความเสี่ยงมาจากปัญหาโรคทางจิต ดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด โดยเฉพาะการดื่มสุรามากขึ้นจะมีโอกาสลงมือทำร้ายตัวเองมากกว่าผู้หญิงที่มีปัญหาถึง 2 เท่า ส่วนในผู้หญิงมักมีสาเหตุมาจากความสัมพันธ์ได้แก่ น้อยใจ ถูกตำหนิดุด่า ผิดหวังความรัก

“สภาพวิถีชีวิตของคนไทยขณะนี้น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเขตเมือง ซึ่งจะเริ่มคุ้นเคยกับการดำรงชีวิตแบบเร่งด่วน เร่งรีบ หรือที่เรียกว่าควิก-ควิก(Quick-Quick) ความเคยชินอาจจะมีผลทำให้มีรูปแบบความคิดแบบเร่งรีบอย่างไม่รู้ตัวตามไปด้วย มักจะบอกว่าไม่มีเวลา ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากไตร่ตรอง ไม่มีทางเลือกแล้ว เมื่อเผชิญกับแรงกดดันความเครียดต่างๆ ผู้ที่มีความคิดแบบนี้อาจลงมือแก้ปัญหาแบบมุทะลุ หุนหันพลันแล่น มีโอกาสผิดพลาดได้สูง เพราะขาดการไตร่ตรอง ขาดความยั้งคิด” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว

อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าปัญหาการฆ่าตัวตายจะเริ่มมาจากปัจเจกบุคคลและมีความยุ่งยากสลับซับซ้อนก็ตาม แต่ก็ไม่ยากเกินแก้ โดยสังคมทุกภาคส่วนทั้งภาคสาธารณสุขและภาคประชาชนต้องร่วมมือป้องกันแก้ไขอย่างจริงจัง ซึ่งหลักฐานทางวิชาการทั่วโลกยอมรับว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยขอให้ร่วมมือกันอัดฉีดวัคซีน 3 ส. ป้องกันปัญหาฆ่าตัวตาย เริ่มจากครอบครัวซึ่งเป็นพลังสำคัญและอยู่ใกล้ปัญหาที่สุด

ส.ที่ 1 คือ การมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน (Connect ) ไม่ห่างเหินและใกล้ชิดจนเกินไป ให้คนในครอบครัวเป็นตัวของตัวเอง มีบทบาทหน้าที่ชัดเจน ส.ที่ 2 ได้แก่ การสื่อสารที่ดีต่อกัน ( Communication) โดยบอกความรู้สึกตัวเองอย่างจริงจัง มีภาษาท่าทางที่เป็นมิตรต่อกัน เช่น สบตา ยิ้ม โอบกอด และการสัมผัส จะช่วยให้คนในครอบครัวเกิดพลังที่เข้มแข็ง และส.ที่ 3 คือใส่ใจรับฟัง (Care) คือมีเวลาให้คนในครอบครัว ทำกิจกรรมร่วมกัน และดูแลช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา ซึ่งกรมสุขภาพจิตตั้งเป้าลดอัตราการฆ่าตัวตายให้เหลือ 6.0 ต่อแสนประชากรภายในปี 2564

สำหรับสัญญานเตือนของผู้ที่คิดจะฆ่าตัวตาย มี 9 สัญญาณ เมื่อพบต้องเข้าไปพูดคุยทันที ได้แก่ 1. ชอบพูดเปรยๆหรือระบายความรู้สึกผ่านสังคมออนไลน์ว่าอยากตาย ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครรัก ไร้ค่า ไม่มีใครสนใจ 2. เดินทางไปเยี่ยมคนรู้จักโดยที่ไม่เคยทำมาก่อนเหมือนไปบอกลา 3. แยกตัวไม่พูดกับใคร สีหน้าเศร้าหมอง ซึมเศร้า 4. มีการแจกจ่ายของรักของหวง พูดจาฝากฝังคนข้างหลัง ทำพินัยกรรมในเวลาที่ยังไม่สมควร 5.ติดเหล้าหรือใช้ยาเสพติดหนักในช่วงนี้ 6. ทรมานจากการเจ็บป่วยเรื้อรังจนต้องพึ่งยารักษาเป็นประจำ 7. นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นเวลานานๆ 8. ประสบปัญหาชีวิตเช่น ล้มละลาย สูญเสียคนรักกะทันหัน เป็นโรคเรื้อรัง พิการจากอุบัติเหตุ และ9. มีอารมณ์ดีขึ้นอย่างกะทันหันตรงกันข้ามกับที่ผ่านๆมา ซึ่งเป็นช่วงอาจแสดงว่าเขารวบรวมความกล้าและตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะฆ่าตัวตาย